สุกรขุน “ทรงตัว” สวนทางลูกสุกร “ราคาลง” เกิดอะไรขึ้น?

สุกรขุน “ทรงตัว” สวนทางลูกสุกร “ราคาลง” เกิดอะไรขึ้น?

อัปเดตราคาหมู: สุกรขุน “ทรงตัว” สวนทางลูกสุกร “ราคาลง” เกิดอะไรขึ้น?

 

สรุปสถานการณ์ราคาสุกรล่าสุด (ต้นเดือนสิงหาคม 2568) ภาพรวมราคาสุกรขุนหน้าฟาร์มยังคง “ทรงตัว” โดยราคาทั่วไปตามประกาศของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติยืนพื้นที่ประมาณ 72-78 บาทต่อกิโลกรัม

แต่ประเด็นที่น่าจับตามองคือ ราคา “ลูกสุกร” ที่ปรับตัว “ลดลง” อย่างชัดเจน เหลือประมาณ 2,100 บาทต่อตัว (บวกลบตามพื้นที่) สวนทางกับราคาสุกรขุน

ปัจจัยสำคัญคืออะไร?

สาเหตุหลักของราคาลูกสุกรที่ปรับลดลง มาจาก “ความกังวลของเกษตรกร” ต่อข่าวการเจรจาที่อาจนำไปสู่การเปิดตลาดนำเข้าเนื้อสุกรจากสหรัฐอเมริกา ทำให้ผู้เลี้ยงจำนวนมากชะลอการตัดสินใจนำสุกรรอบใหม่เข้าเลี้ยงเพราะไม่มั่นใจในเสถียรภาพราคาในอนาคต

ปัจจัยใหม่นี้เข้ามาเสริมแรงกดดันเดิมที่เกษตรกรต้องเผชิญอยู่แล้ว ทั้งต้นทุนอาหารสัตว์และภาระค่าใช้จ่ายในการป้องกันโรคระบาด (ASF) ที่ยังคงสูง

สรุปสั้นๆ: ตลาดสุกรขุนยังนิ่ง แต่ตลาดลูกสุกรสะท้อนความไม่แน่นอนสูงจากปัจจัยด้านนโยบาย ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

ตารางที่ 1: เปรียบเทียบราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม (สุกรขุน) รายภาค

ภาค (Region) ราคา ณ วันที่ 21 ก.ค. 68 (บาท/กก.)  

ราคา ณ วันที่ 1 พ.ค. 67 (บาท/กก.)  

การเปลี่ยนแปลง (+/- บาท)
ภาคตะวันตก 74 70 +4
ภาคตะวันออก 76 – 80 72 – 78 +2 ถึง +4
ภาคอีสาน 78 – 80 74 – 76 +2 ถึง +4
ภาคเหนือ 80 – 82 75 – 78 +2 ถึง +5
ภาคใต้ 82 74 +8

จากตารางจะเห็นได้ว่าราคาสุกรขุนในทุกภูมิภาคมีแนวโน้มที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเวลาประมาณ 3 เดือน สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของมาตรการควบคุมปริมาณการผลิตที่ผู้เลี้ยงร่วมมือกัน ประกอบกับความต้องการของตลาดที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นบ้างหลังผ่านพ้นช่วงเทศกาลสำคัญ โดยภาคใต้ยังคงเป็นภูมิภาคที่มีระดับราคาสูงที่สุดอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างต้นทุนการขนส่งและอุปทานในพื้นที่ การยืนราคาในระดับนี้ถือเป็นความจำเป็นเพื่อให้เกษตรกรมีกำไรที่ยุติธรรม หลังจากที่ต้องแบกรับภาวะขาดทุนมาเป็นเวลานาน  

 

ราคาลูกสุกรลดลง: ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นที่น่ากังวล

 

ในขณะที่ราคาสุกรขุนหน้าฟาร์มกำลังยืนแข็ง แต่ข้อมูลราคาลูกสุกรกลับส่งสัญญาณที่สวนทางกันโดยสิ้นเชิง และนี่คือจุดที่น่าสนใจและต้องจับตามองเป็นพิเศษ

ตารางที่ 2: แนวโน้มราคาลูกสุกรขุนเล็ก (น้ำหนักประมาณ 16 กก.)

เดือน (ปี 2568) ราคาเฉลี่ย (บาท/ตัว)  

แนวโน้ม
พฤษภาคม 2,900 📉
มิถุนายน 2,650 📉
กรกฎาคม 2,400 📉
สิงหาคม (ต้นเดือน) 2,100 📉

แนวโน้มราคาลูกสุกรที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องและชัดเจนตลอด 4 เดือนที่ผ่านมานี้ ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงของตัวเลข แต่เป็น “ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่น” ของเกษตรกรผู้เลี้ยงโดยตรง การที่ราคาลูกสุกรซึ่งเป็นต้นน้ำของการผลิตปรับตัวลดลง สวนทางกับราคาสุกรขุนที่เป็นปลายทางของการเลี้ยง บ่งชี้ถึงสภาวะที่ซับซ้อนภายในอุตสาหกรรม

การบริหารจัดการฟาร์มสุกรขุนขนาดเล็กให้เติบโตอย่างยั่งยืน

การบริหารจัดการฟาร์มสุกรขุนขนาดเล็กให้เติบโตอย่างยั่งยืน

บทนำ

การเลี้ยงสุกรขุนขนาดเล็ก เป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีศักยภาพสูงสำหรับเกษตรกรรายย่อยในประเทศไทย ด้วยความต้องการเนื้อสุกรที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลาดทั้งในและต่างประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน การแข่งขันในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ก็มีความเข้มข้นมากขึ้น เกษตรกรจึงจำเป็นต้องมองหาวิธีการบริหารจัดการฟาร์มที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน เพื่อให้สามารถลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และสร้างความมั่นคงในระยะยาว

บทความนี้จะนำเสนอแนวทาง การจัดการฟาร์มสุกรขุน ขนาดเล็กให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของตลาด


ความท้าทายของผู้เลี้ยงสุกรขุนรายย่อยในปัจจุบัน

การเลี้ยงสุกรขุนในฟาร์มขนาดเล็กอาจดูเหมือนเป็นธุรกิจที่เรียบง่าย แต่ในความเป็นจริง เกษตรกรรายย่อยต้องเผชิญกับปัญหาและความท้าทายหลายประการ เช่น:

  • ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
    • ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำไรของผู้เลี้ยงสุกร
  • การแข่งขันกับฟาร์มขนาดใหญ่
    • ฟาร์มขนาดใหญ่มีข้อได้เปรียบในเรื่องของต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำกว่า และสามารถเข้าถึงตลาดได้ง่ายกว่า
  • การจัดการสิ่งแวดล้อม
    • มูลสุกรและของเสียจากฟาร์มอาจก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม
  • ความผันผวนของราคาสุกรในตลาด
    • ราคาสุกรขุนในตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้เลี้ยงรายย่อยต้องรับความเสี่ยงสูง
  • โรคสุกรต่างๆ
    • ในปี 2567 (2024) อุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรในประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายจากโรคระบาดที่สำคัญ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตและเศรษฐกิจของประเทศ

โรคสุกรที่ควรเฝ้าระวัง

  1. โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever: ASF)
    • โรคไวรัสที่มีความรุนแรงสูงในสุกร แม้ว่าจะไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ แต่สามารถทำให้สุกรติดเชื้อและเสียชีวิตในอัตราสูง
    • การพัฒนาวัคซีนต้นแบบโดยไบโอเทค สวทช. มีความหวังในการป้องกันโรคนี้ในอนาคต
  1. โรคปากและเท้าเปื่อย (Foot and Mouth Disease: FMD)
    • โรคไวรัสที่แพร่ระบาดได้รวดเร็วในสัตว์กีบคู่ เช่น โค กระบือ และสุกร
    • ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและการผลิตของสัตว์
  2. โรคเพิร์ส (Porcine Reproductive and Respiratory Syndrome: PRRS)
    • โรคไวรัสที่ส่งผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์และระบบทางเดินหายใจของสุกร
    • ทำให้เกิดการแท้งลูกในแม่สุกรและปัญหาทางเดินหายใจในสุกรขุน
  3. โรคอหิวาต์สุกร (Classical Swine Fever: CSF)
    • โรคไวรัสที่มีความรุนแรงในสุกร แม้ว่าการระบาดจะลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ยังคงต้องมีการเฝ้าระวัง

มาตรการป้องกันและควบคุมโรค

  • การเฝ้าระวังสุขภาพสุกร: ตรวจสอบสุขภาพสุกรอย่างสม่ำเสมอ และรายงานกรณีพบอาการผิดปกติ
  • การจัดการสุขาภิบาลฟาร์ม: รักษาความสะอาดของฟาร์มและอุปกรณ์ ลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อโรค
  • การควบคุมการเคลื่อนย้ายสุกร: ปฏิบัติตามระเบียบการเคลื่อนย้ายสุกรอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
  • การฉีดวัคซีน: ปฏิบัติตามโปรแกรมการฉีดวัคซีนที่กำหนดโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ประโยชน์ของการบริหารฟาร์มสุกรขุนให้เติบโตอย่างยั่งยืน

การจัดการฟาร์มสุกรขุนอย่างยั่งยืนไม่เพียงช่วยลดต้นทุนการผลิต แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน รวมถึงเพิ่มโอกาสทางการตลาดให้กับผู้เลี้ยงรายย่อย

ประโยชน์สำคัญของฟาร์มสุกรขุนยั่งยืน ได้แก่:

  • ลดต้นทุนการเลี้ยงสุกรขุน
    • การใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและการจัดการที่มีประสิทธิภาพช่วยลดค่าใช้จ่าย
  • เพิ่มผลผลิตและคุณภาพของสุกร
    • สุกรมีสุขภาพดีขึ้นและเติบโตเร็วขึ้น
  • สร้างความน่าเชื่อถือในตลาด
    • ฟาร์มที่มีการจัดการที่ดีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค

1. การวางแผนและการบริหารจัดการฟาร์มสุกรขุน

การเลือกทำเลที่ตั้งฟาร์ม

  • แหล่งน้ำสะอาด: น้ำเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเลี้ยงสุกร
  • สภาพอากาศที่เหมาะสม: อากาศที่ร้อนหรือชื้นเกินไปอาจส่งผลต่อสุขภาพของสุกร
  • การเข้าถึงตลาด: ทำเลที่ใกล้ตลาดช่วยลดต้นทุนการขนส่ง

การออกแบบโรงเรือน

  • การระบายอากาศ: เพื่อลดการสะสมของแอมโมเนียและป้องกันโรคทางเดินหายใจ
  • พื้นที่เพียงพอ: ลดความแออัดในโรงเรือน
  • การป้องกันความร้อนและฝน: เพื่อรักษาสุขภาพของสุกร

การลดต้นทุนค่าอาหารสุกรขุน

วิธีลดต้นทุนเลี้ยงสุกรขุน:

  1. ใช้อาหารสำเร็จรูปจากบริษัทที่มีคุณภาพ เช่น เบทาโกร หรือ เจบีเอฟ
  2. การผสมอาหารเองโดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่น เช่น รำข้าว ปลายข้าว และมันสำปะหลัง
  3. การใช้โปรตีนจากธรรมชาติ เช่น กากถั่วเหลืองหรือถั่วเขียว
  4. การวางแผนการให้อาหารในปริมาณที่เหมาะสมตามช่วงอายุของสุกร

การจัดการของเสียจากฟาร์ม

  • การผลิตปุ๋ยอินทรีย์
  • การผลิตก๊าซชีวภาพ
  • การบำบัดน้ำเสียเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่

2. เทคนิคเพิ่มผลผลิตและกำไรของฟาร์มสุกรขุนขนาดเล็ก

การเลือกสายพันธุ์สุกรขุน

  • พันธุ์ลาร์จไวท์: โตเร็วและให้อัตราการเปลี่ยนอาหาร (FCR) สูง
  • พันธุ์แลนด์เรซ: เนื้อคุณภาพดี ทนต่อโรค

สูตรอาหารสุกรขุน Click!!

ระยะเริ่มต้น: เพิ่มโปรตีนสูง เช่น เบอร์ 951, JBF 111

  • ระยะขุน: ลดโปรตีนแต่เพิ่มพลังงาน เช่น เบอร์ 952, JBF 113

ระบบการจัดการน้ำและอากาศ

  • ติดตั้งระบบน้ำอัตโนมัติ
  • ใช้พัดลมระบายอากาศในโรงเรือน

3. แนวทางทำฟาร์มสุกรขุนแบบยั่งยืน

การใช้แนวทางเกษตรอินทรีย์

  • ลดการใช้สารเคมีและยาปฏิชีวนะ
  • เลี้ยงหมูบนบ่อปลานิลเพื่อเพิ่มกำไรจากการเลี้ยงปลา

การใช้ระบบฟาร์มหมุนเวียน

  • ปลูกพืชอาหารสัตว์ในพื้นที่ฟาร์ม
  • ใช้มูลสุกรเป็นปุ๋ย

การบริหารฟาร์มตามหลักสวัสดิภาพสัตว์

  • ลดความแออัดในโรงเรือน
  • จัดการความเครียดของสุกร

4. การตลาดและช่องทางการขายสุกรขุนสำหรับผู้เลี้ยงรายย่อย

การสร้างแบรนด์ฟาร์มสุกรขุน

  • เน้นคุณภาพและความยั่งยืน เช่น เนื้อสุกรปลอดสารเคมี

ช่องทางการขายสุกรขุน

  • ตลาดสด
  • การขายออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดีย
  • การทำสัญญาขายส่งกับโรงเชือด

การใช้โซเชียลมีเดียในการโปรโมต

  • โพสต์ภาพฟาร์มและกระบวนการเลี้ยง
  • สร้างความน่าเชื่อถือผ่านรีวิวจากลูกค้า

บทสรุป

การเลี้ยงสุกรขุนขนาดเล็กให้เติบโตอย่างยั่งยืนต้องอาศัยการวางแผนที่ดี การจัดการที่มีประสิทธิภาพ และการปรับตัวตามสถานการณ์ตลาด การมุ่งเน้นความยั่งยืนไม่เพียงช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้กับเกษตรกร

เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงฟาร์มของคุณวันนี้ เพื่ออนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน!