รายงานวิเคราะห์ราคาสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ในประเทศไทย

รายงานวิเคราะห์ราคาสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ในประเทศไทย

รายงานวิเคราะห์ราคาสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ในประเทศไทย: ฉบับไตรมาสที่ 2 ปี 2568

 

 

บทสรุปสำหรับผู้บริหาร: ภาพรวมตลาดสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ของไทย

 

 

1.1 ภาพรวมตลาด

 

ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ตลาดสินค้าปศุสัตว์และประมงของไทยแสดงให้เห็นถึงระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่มีความซับซ้อนและหลากหลาย โดยราคาสินค้าหลัก 7 ชนิดที่ทำการวิเคราะห์ ได้แก่ สุกรมีชีวิต ไข่ไก่ ปลาทับทิม ไข่เป็ด ไข่นกกระทา โคและกระบือมีชีวิต และปลานิล ไม่ได้เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน แต่ถูกกำหนดโดยกลไกตลาดที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างราคาของสินค้าแต่ละชนิดมีความผันแปรสูง ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ตั้งแต่ช่องทางการจำหน่าย (ราคาหน้าฟาร์ม ตลาดค้าส่ง ค้าปลีก) ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ไปจนถึงคุณภาพและเกรดของผลิตภัณฑ์ การทำความเข้าใจในความแตกต่างเหล่านี้จึงเป็นหัวใจสำคัญในการวิเคราะห์ตลาดอย่างแท้จริง

 

1.2 ข้อค้นพบที่สำคัญ

 

การวิเคราะห์เชิงลึกเผยให้เห็นข้อค้นพบหลักสามประการ:

  1. กลไกการกำหนดราคาที่แตกต่างกัน: สินค้าบางประเภท เช่น สุกรมีชีวิตและไข่ไก่ มีโครงสร้างราคาที่ได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากองค์กรกลางหรือสมาคมผู้เลี้ยง เช่น สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และเครือข่ายสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ ซึ่งทำหน้าที่ประกาศราคาแนะนำหรือราคาอ้างอิงหน้าฟาร์ม ในทางตรงกันข้าม สินค้าอย่างไข่นกกระทาและโค-กระบือมีชีวิตในตลาดนัด มีกลไกราคาที่กระจัดกระจายและขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองในแต่ละพื้นที่เป็นหลัก สะท้อนถึงตลาดที่มีผู้เล่นรายย่อยจำนวนมากและขาดมาตรฐานกลางที่ชัดเจน  
  2. ความเหลื่อมล้ำของราคาในระดับภูมิภาคและความผันผวน: ตลาดสุกรมีชีวิตเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของความแตกต่างด้านราคาในแต่ละภูมิภาค โดยราคาประกาศหน้าฟาร์มในภาคตะวันออกและภาคใต้มักจะสูงกว่าภาคอื่น ซึ่งอาจสะท้อนถึงโครงสร้างอุปสงค์และต้นทุนโลจิสติกส์ในพื้นที่นั้นๆ ในขณะเดียวกัน สินค้าที่มีมาตรฐานชัดเจน เช่น ไข่ไก่ มีความเสถียรด้านราคาสูงกว่าสินค้าที่ไม่มีมาตรฐาน เช่น โค-กระบือมีชีวิต ซึ่งราคาซื้อขายจริงอาจแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละวันและแต่ละตลาด  
  3. ความท้าทายด้านข้อมูลและความโปร่งใส: การรวบรวมข้อมูลราคาที่แม่นยำและเป็นปัจจุบันต้องอาศัยการสังเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง ทั้งหน่วยงานภาครัฐ (กระทรวงพาณิชย์, กรมปศุสัตว์) สมาคมอุตสาหกรรม และผู้ค้าปลีกเอกชน การขาดฐานข้อมูลกลางที่ครบวงจรทำให้การวิเคราะห์ต้องเผชิญกับความท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าบางประเภทที่ข้อมูลจากภาครัฐอาจไม่สะท้อนราคาซื้อขายจริงในตลาด รายงานฉบับนี้จึงได้ระบุแหล่งที่มาและวันที่ของข้อมูลอย่างชัดเจนเพื่อความโปร่งใสสูงสุด  

 

1.3 นัยเชิงกลยุทธ์

 

ความเข้าใจในพลวัตของราคาที่นำเสนอในรายงานฉบับนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในห่วงโซ่อุปทาน ไม่ว่าจะเป็นนักวิเคราะห์ธุรกิจ ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ หรือนักลงทุนในภาคเกษตร การตระหนักถึงความแตกต่างของราคาระหว่างหน้าฟาร์มและค้าปลีก ช่องว่างของราคาในแต่ละภูมิภาค และบทบาทของผู้มีอำนาจในการกำหนดราคา จะช่วยให้สามารถวางแผนกลยุทธ์การจัดซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริหารจัดการต้นทุนในห่วงโซ่อุปทาน ระบุโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ และลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของราคาได้อย่างทันท่วงที

 

รายงานสรุปราคาสินค้าเกษตรสำคัญ

 

 

2.1 บทนำสู่ข้อมูลราคา

 

ตารางต่อไปนี้คือการสรุปข้อมูลราคาสินค้าเกษตรสำคัญ 7 รายการ โดยคัดเลือกราคาที่เป็นตัวแทนที่ดีที่สุดจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและเป็นปัจจุบันที่สุด ณ ไตรมาสที่ 2 ปี 2568 เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ ประเภทของราคาที่นำเสนอ (เช่น ราคาเฉลี่ยค้าปลีกทั่วประเทศ หรือราคาเฉลี่ยหน้าฟาร์มระดับภูมิภาค) ได้ถูกพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อให้สะท้อนกลไกตลาดของสินค้าแต่ละชนิดได้ดีที่สุด

การนำเสนอข้อมูลในรูปแบบตารางสรุปนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเปรียบเทียบภาพรวมราคาได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าราคาเหล่านี้เป็นเพียงภาพรวม ณ จุดเวลาหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากราคาของสินค้าเกษตรมีความซับซ้อนและแตกต่างกันไปตามปัจจัยที่หลากหลาย การวิเคราะห์เชิงลึกใน “ส่วนที่ 3” ของรายงานฉบับนี้จะขยายความถึงความแตกต่างของราคาในแต่ละช่องทางจำหน่าย ภูมิภาค และมาตรฐานของสินค้า เพื่อให้เห็นภาพที่สมบูรณ์และชัดเจนยิ่งขึ้น

 

2.2 ตารางสรุปราคาสินค้าปศุสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ในประเทศไทย (ไตรมาสที่ 2 ปี 2568)

 

ตารางต่อไปนี้แสดงข้อมูลราคาล่าสุดที่รวบรวมได้สำหรับสินค้าแต่ละรายการตามที่ผู้ใช้ร้องขอ

ชนิดสัตว์/ผลิตภัณฑ์ ราคาต่อหน่วย วันที่ข้อมูล
สุกรมีชีวิต (ราคาหน้าฟาร์ม) 82.00 – 88.00 บาท/กก. 16 มิถุนายน 2568
ไข่ไก่ (เบอร์ 3, ราคาค้าปลีก) 4.10 บาท/ฟอง 19 มิถุนายน 2568
ปลาทับทิม (ราคาค้าปลีกเฉลี่ย) 85.00 บาท/กก. 17 มิถุนายน 2568
ไข่เป็ด (ขนาดกลาง, ราคาค้าปลีกเฉลี่ย) 5.35 บาท/ฟอง 18 มิถุนายน 2568
ไข่นกกระทา (สด, ราคาขายส่ง) 90.00 บาท/100 ฟอง 19 มิถุนายน 2568
โคและกระบือมีชีวิต (หน้าตลาดนัดโค-กระบือ) ไม่พบข้อมูล
ปลานิล (ราคาค้าปลีกเฉลี่ย) 72.50 บาท/กก. 19 มิถุนายน 2568

หมายเหตุ: ราคา “สุกรมีชีวิต” เป็นราคาประกาศหน้าฟาร์มโดยสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค ราคา “ไข่ไก่” “ปลาทับทิม” “ไข่เป็ด” และ “ปลานิล” เป็นราคาเฉลี่ยจากการสำรวจตลาดค้าปลีกโดยกระทรวงพาณิชย์ ราคา “ไข่นกกระทา” เป็นราคาขายส่งจากแหล่งข้อมูลตลาดกลาง สำหรับ “โคและกระบือมีชีวิต” ไม่สามารถระบุราคาที่เป็นมาตรฐานกลางได้ เนื่องจากราคาซื้อขายจริงขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองเป็นรายตัวในแต่ละตลาดนัด จึงระบุว่า ‘ไม่พบข้อมูล’ เพื่อความถูกต้อง  

 

การวิเคราะห์เชิงลึกตามประเภทผลิตภัณฑ์

 

 

3.1 พลวัตตลาดสุกร: อิทธิพลของสมาคมและความแตกต่างของราคาในภูมิภาค

 

ตลาดสุกรมีชีวิตในประเทศไทยมีลักษณะเด่นคือการมีโครงสร้างราคาที่ได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากองค์กรกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ” ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการประกาศราคาแนะนำสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มเป็นรายสัปดาห์ การประกาศราคานี้ทำหน้าที่เป็นราคาอ้างอิง (Benchmark Price) สำหรับการซื้อขายระหว่างเกษตรกรและผู้รวบรวมหรือโรงชำแหละทั่วประเทศ  

อย่างไรก็ตาม ราคาที่ประกาศนั้นไม่ได้เป็นราคาเดียวทั่วประเทศ แต่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในแต่ละภูมิภาค ซึ่งสะท้อนถึงสมดุลของอุปทานและอุปสงค์ในท้องถิ่น รวมถึงต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่แตกต่างกัน การพิจารณาข้อมูลราคาประกาศ ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2568 พบว่า ภาคตะวันออกและภาคใต้มีราคาประกาศสูงสุดที่ 86 บาท/กก. ในขณะที่ภาคตะวันตกมีราคาต่ำสุดที่ 82 บาท/กก. ความแตกต่างนี้อาจอธิบายได้ว่า ภาคตะวันออกเป็นที่ตั้งของเขตอุตสาหกรรมสำคัญและภาคใต้เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลัก ซึ่งอาจส่งผลให้มีความต้องการบริโภคสูงกว่า ในขณะที่ภาคตะวันตกและภาคอีสานเป็นแหล่งเลี้ยงสุกรที่สำคัญซึ่งมีปริมาณผลผลิตสูงกว่า ทำให้ระดับราคาหน้าฟาร์มต่ำกว่าเล็กน้อย การทำความเข้าใจในความแตกต่างของราคาในแต่ละภูมิภาคนี้จึงเป็นข้อมูลเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อใช้ในการวางแผนการจัดหาวัตถุดิบให้มีต้นทุนที่เหมาะสมที่สุด  

นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบราคาหน้าฟาร์มกับราคาขายปลีกเนื้อสุกรชำแหละ จะเห็นถึงส่วนต่างของราคา (Margin) ในห่วงโซ่มูลค่าได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ณ วันที่ 19 มิถุนายน 2568 ระบุว่าราคาขายปลีก “สุกรชำแหละ เนื้อแดง สะโพก” อยู่ที่ 152.50 บาท/กก. ซึ่งสูงกว่าราคาเฉลี่ยหน้าฟาร์ม (ประมาณ 84-86 บาท/กก.) อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนต่างนี้ครอบคลุมต้นทุนการขนส่ง การชำแหละ การแปรรูป และกำไรของผู้ประกอบการในแต่ละขั้นตอน บทบาทของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติไม่ได้จำกัดอยู่แค่การประกาศราคา แต่ยังขยายไปถึงการดำเนินมาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาด ในอดีตเคยมีการประกาศ “ตรึงราคา” เพื่อพยุงราคาให้เกษตรกรในช่วงที่ต้นทุนสูงขึ้นหรือเพื่อต่อต้านการนำเข้าเนื้อสุกรจากต่างประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทเชิงนโยบายเศรษฐกิจของสมาคมที่นอกเหนือไปจากการเป็นเพียงองค์กรของเกษตรกร  

ตารางที่ 3.1.1: เปรียบเทียบราคาประกาศสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มตามภูมิภาค (มิถุนายน 2568)

ภาค (Region) ราคา (บาท/กก.) แหล่งข้อมูล
ภาคตะวันตก 82.00 สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ  

ภาคตะวันออก 86.00 สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ  

ภาคอีสาน 82.00 – 84.00 สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ  

ภาคเหนือ 84.00 – 86.00 สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ  

ภาคใต้ 86.00 สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ  

 

3.2 ตลาดไข่สัตว์ปีก: การศึกษาการกำหนดราคาตามมาตรฐานและการสร้างความแตกต่าง

 

ตลาดไข่ในประเทศไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มหลักตามประเภทของสัตว์ปีก ได้แก่ ไข่ไก่ ไข่เป็ด และไข่นกกระทา ซึ่งแต่ละกลุ่มมีโครงสร้างและกลไกการกำหนดราคาที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน สะท้อนถึงระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมและการยอมรับของผู้บริโภค

ไข่ไก่ (Chicken Eggs): เป็นตลาดที่มีความเป็นอุตสาหกรรมและมีมาตรฐานสูงสุด การกำหนดราคาขายปลีกมีความชัดเจนและเป็นระบบ โดยแบ่งตามขนาดหรือ “เบอร์” ตั้งแต่เบอร์ 0 (ใหญ่สุด) ถึงเบอร์ 6 (เล็กสุด) โครงสร้างราคานี้สะท้อนถึงกระบวนการผลิตขนาดใหญ่ที่มีการคัดแยกขนาดด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติ ทำให้สามารถกำหนดราคาที่แตกต่างกันในแต่ละเกรดได้อย่างแม่นยำ ราคาแนะนำไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม ณ วันที่ 9 มิถุนายน 2568 อยู่ที่ฟองละ 3.60 บาท ในขณะที่ราคาขายปลีกไข่ไก่เบอร์ 3 ณ วันที่ 19 มิถุนายน 2568 อยู่ที่ 4.10 บาท/ฟอง ส่วนต่างนี้สะท้อนต้นทุนการคัดขนาด บรรจุภัณฑ์ การขนส่ง และกำไรของผู้ค้าปลีก  

ไข่เป็ด (Duck Eggs): ตลาดไข่เป็ดมีโครงสร้างที่เป็นระบบน้อยกว่าไข่ไก่ แต่ยังคงมีการแบ่งเกรดตามขนาดอย่างง่ายๆ คือ ขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์มักจะรายงานราคา “ไข่เป็ด กลาง” เป็นหลัก ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นขนาดมาตรฐานที่นิยมซื้อขายกันในตลาดค้าปลีก ณ วันที่ 18 มิถุนายน 2568 ราคาเฉลี่ยค้าปลีกไข่เป็ดขนาดกลางอยู่ที่ 5.35 บาท/ฟอง ซึ่งสูงกว่าไข่ไก่ขนาดกลาง-ใหญ่ สะท้อนถึงต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าและปริมาณผลผลิตที่น้อยกว่า  

ไข่นกกระทา (Quail Eggs): เป็นตลาดที่กระจัดกระจายและมีความหลากหลายในการกำหนดราคาสูงที่สุด ไม่มีการกำหนดเบอร์หรือขนาดที่เป็นมาตรฐานกลางเหมือนไข่ไก่และไข่เป็ด หน่วยการซื้อขายมีความหลากหลายมาก ตั้งแต่การขายเป็นแพ็ค 15 ฟองในซูเปอร์มาร์เก็ต , ขายยกถุง 50 ฟอง , ขายส่งเป็นหน่วย 100 ฟอง , ไปจนถึงการขายออนไลน์เป็นจำนวน 500 ฟอง นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างระหว่างไข่ดิบและไข่ต้มสุก ความหลากหลายนี้ชี้ให้เห็นว่าตลาดไข่นกกระทาประกอบด้วยผู้ผลิตรายย่อยจำนวนมาก และมีช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย ตั้งแต่ตลาดสดไปจนถึงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ  

ระดับความเป็นมาตรฐานของราคาในตลาดไข่แต่ละชนิดมีความสัมพันธ์โดยตรงกับระดับความเป็นอุตสาหกรรมของการผลิต ตลาดไข่ไก่ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มีโครงสร้างราคาที่ชัดเจนและมีเสถียรภาพ ในขณะที่ตลาดไข่นกกระทาซึ่งมีลักษณะคล้ายงานหัตถกรรมหรือการผลิตขนาดเล็ก มีโครงสร้างราคาที่ยืดหยุ่นและหลากหลายกว่ามาก

ตารางที่ 3.2.1: เปรียบเทียบโครงสร้างราคาไข่ประเภทต่างๆ (มิถุนายน 2568)

ประเภทไข่ ขนาด/หน่วย ราคา (บาท) ประเภทราคา แหล่งข้อมูล
ไข่ไก่ เบอร์ 0 4.10 / ฟอง ค้าปลีก  

เบอร์ 2 3.70 / ฟอง ค้าปลีก  

เบอร์ 4 3.50 / ฟอง ค้าปลีก  

คละหน้าฟาร์ม 3.60 / ฟอง หน้าฟาร์ม  

ไข่เป็ด ขนาดใหญ่ 4.60 / ฟอง ร้านค้าเฉพาะทาง  

ขนาดกลาง 5.35 / ฟอง ค้าปลีกเฉลี่ย  

ขนาดเล็ก 3.80 / ฟอง ร้านค้าเฉพาะทาง  

ไข่นกกระทา 100 ฟอง (สด) 90.00 ขายส่ง  

15 ฟอง (สด) 39.00 ค้าปลีก (ซูเปอร์มาร์เก็ต)  

100 ฟอง (ต้ม) 130.00 – 138.00 ขายส่ง  

 

3.3 การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด: ตลาดปลากระแสหลักและปลาระดับพรีเมียม

 

ตลาดปลาเพาะเลี้ยงน้ำจืดในประเทศไทยมีผู้เล่นหลักสองชนิดที่น่าสนใจในการวิเคราะห์เปรียบเทียบ ได้แก่ ปลานิล (Pond Tilapia) และ ปลาทับทิม (Pomegranate Fish) ซึ่งทั้งสองชนิดเป็นปลาในวงศ์เดียวกันแต่มีตำแหน่งทางการตลาดและระดับราคาที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

ปลานิล (Pond Tilapia): ถือเป็นปลาเศรษฐกิจกระแสหลักและเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญสำหรับผู้บริโภคชาวไทย เนื่องจากราคาที่ไม่สูง เข้าถึงง่าย และเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ณ วันที่ 19 มิถุนายน 2568 ระบุว่าราคาขายส่งปลานิลอยู่ที่ 45.00 – 50.00 บาท/กก. (เฉลี่ย 47.50 บาท/กก.) ในขณะที่ราคาขายปลีกเฉลี่ยอยู่ที่ 65.00 – 80.00 บาท/กก. (เฉลี่ย 72.50 บาท/กก.) ส่วนต่างระหว่างราคาขายส่งและขายปลีกที่ประมาณ 25 บาทต่อกิโลกรัมนี้ สะท้อนถึงต้นทุนในห่วงโซ่การกระจายสินค้า ตั้งแต่ค่าขนส่ง ค่าจัดการหน้าร้าน และกำไรของผู้ค้าส่งและค้าปลีก  

ปลาทับทิม (Pomegranate Fish): ปลาทับทิมคือสายพันธุ์ของปลานิลที่ผ่านการคัดเลือกและปรับปรุงสายพันธุ์จนมีสีแดงหรือสีชมพูอมส้มคล้ายผลทับทิม และถูกนำเสนอในตลาดในฐานะสินค้าพรีเมียมที่มีราคาสูงกว่าปลานิลทั่วไปอย่างสม่ำเสมอ ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2568 ระบุราคาขายส่งปลาทับทิมอยู่ที่ 80.00 – 90.00 บาท/กก. (เฉลี่ย 85.00 บาท/กก.) ซึ่งสูงกว่าราคาขายส่งปลานิลทั่วไปถึง 37.50 บาท/กก. หรือคิดเป็นส่วนต่างถึง 79% การเปรียบเทียบราคาจากแหล่งอื่นๆ เช่น ตลาดรักบ้านเกิด ก็ยืนยันแนวโน้มเดียวกัน โดยปลาทับทิมมีราคา 75.00 บาท/กก. ในขณะที่ปลานิลอยู่ที่ 55.00 บาท/กก.  

ปรากฏการณ์นี้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation) ในสินค้าเกษตร แม้ว่าในทางชีววิทยาปลาทั้งสองชนิดจะใกล้เคียงกัน แต่การสร้างแบรนด์ การตั้งชื่อที่น่าจดจำ (“ปลาทับทิม”) และการนำเสนอรูปลักษณ์ที่แตกต่าง (สีแดง) สามารถสร้างการรับรู้ของผู้บริโภคว่าเป็นสินค้าคุณภาพสูงกว่า และส่งผลให้สามารถตั้งราคาขายที่สูงขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ สำหรับนักลงทุนในภาคการเกษตร นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของศักยภาพในการทำกำไรจากการผลิตสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าเพิ่ม แทนที่จะเป็นการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ทั่วไป

 

3.4 การค้าโคและกระบือมีชีวิต: ตลาดที่ยังขาดโครงสร้างราคาที่เป็นทางการ

 

การวิเคราะห์ราคาสินค้าในหมวด “โคและกระบือมีชีวิต (หน้าตลาดนัดโค-กระบือ)” เผชิญกับความท้าทายที่สำคัญที่สุด เนื่องจากเป็นตลาดที่ขาดมาตรฐานกลางในการกำหนดราคาอย่างสิ้นเชิง การซื้อขายในตลาดนัดส่วนใหญ่ไม่ได้อิงตามราคากลางต่อกิโลกรัม แต่เป็นการเจรจาต่อรองราคาเป็นรายตัว (Per Head) โดยอาศัยการประเมินด้วยสายตาเป็นหลัก ทำให้การระบุ “ราคาตลาด” ที่เป็นตัวเลขเดียวจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้และอาจสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน  

อย่างไรก็ตาม สามารถวิเคราะห์โครงสร้างของตลาดนี้ได้โดยการพิจารณาข้อมูลจากสองมิติที่แตกต่างกัน:

  1. กรอบราคาของภาครัฐ: กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการออกประกาศกำหนดราคากลางสำหรับโคและกระบือ โดยจำแนกตามสายพันธุ์ (เช่น บราห์มัน, พื้นเมือง), เพศ, และช่วงอายุ โดยระบุราคาเป็น “บาทต่อกิโลกรัม” ตัวอย่างเช่น โคพันธุ์บราห์มันเพศผู้ช่วงหย่านมถึง 5 ปี มีราคากลางที่ 90 บาท/กก. ในขณะที่เพศเมียช่วงหย่านมถึง 10 ปี มีราคากลางที่ 120 บาท/กก. ราคาในลักษณะนี้มักถูกใช้ในเชิงบริหารจัดการของภาครัฐ เช่น การประเมินมูลค่าเพื่อการชดเชยความเสียหาย, การค้ำประกันสินเชื่อ หรือในโครงการต่างๆ ของรัฐ แต่ไม่ได้สะท้อนราคาซื้อขายจริงที่เกิดขึ้นในตลาดนัด  
  2. ราคาซื้อขายในตลาดจริง: การซื้อขายในตลาดนัดโค-กระบือมีลักษณะเป็นพลวัตสูงและขึ้นอยู่กับการต่อรองเฉพาะหน้า ราคาเริ่มต้นอาจมีตั้งแต่หลักพันบาทสำหรับวัวขนาดเล็ก ไปจนถึงหลายหมื่นบาทสำหรับวัวขนาดใหญ่หรือมีลักษณะดี ผู้ซื้อที่มีประสบการณ์จะประเมินราคาโดยพิจารณาจากลักษณะทางกายภาพ เช่น ความสมบูรณ์ของร่างกาย โครงสร้าง และคาดการณ์ปริมาณเนื้อที่จะได้รับ  

ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่างราคากลางของภาครัฐและราคาซื้อขายจริงในตลาด ชี้ให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของระบบเศรษฐกิจสองระบบที่ดำเนินไปพร้อมกัน คือระบบที่เป็นทางการ (Formal) และระบบที่ไม่เป็นทางการ (Informal) งานวิจัยทางวิชาการได้พยายามเชื่อมช่องว่างนี้โดยการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนร่างกายของโค (Body Condition Score) กับราคาซื้อขายจริงต่อกิโลกรัมในตลาดนัด เพื่อสร้างแบบจำลองการประเมินราคาที่เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติ การเจรจาต่อรองโดยอาศัยประสบการณ์และความสัมพันธ์ส่วนบุคคลยังคงเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนตลาดนี้ สำหรับนักลงทุนหรือผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าสู่ตลาดนี้ การทำความเข้าใจในวัฒนธรรมและกลไกการซื้อขายที่ไม่เป็นทางการจึงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการศึกษาข้อมูลราคาที่เป็นทางการ  

ตารางที่ 3.4.1: ตัวอย่างราคากลางโคมีชีวิตตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (บาท/กก.)

สายพันธุ์ เพศ ช่วงอายุ ราคากลาง (บาท/กก.)
โคพันธุ์บราห์มัน ผู้ หย่านม – 5 ปี 90
เมีย หย่านม – 10 ปี 120
โคพันธุ์พื้นเมือง ผู้ หย่านม – 5 ปี 84
เมีย หย่านม – 9 ปี 90

ที่มา: สรุปจากประกาศกรมปศุสัตว์  

 

ปัจจัยขับเคลื่อนตลาดในระดับมหภาค

 

 

4.1 บทบาทของหน่วยงานภาครัฐ

 

หน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ (MOC) และกรมปศุสัตว์ (DLD) มีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลและส่งเสริมตลาดสินค้าปศุสัตว์และประมงของไทย บทบาทเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่การติดตามและเผยแพร่ข้อมูลราคาขายปลีกและขายส่งสินค้าเกษตรผ่านช่องทางต่างๆ ไปจนถึงการกำหนดนโยบายที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุปทานและราคา เช่น การควบคุมการนำเข้าและผลักดันการส่งออก การประชุมของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาโคเนื้อ-กระบือ และผลิตภัณฑ์แห่งชาติ (Beef Board) เป็นตัวอย่างของการทำงานเชิงนโยบายที่มุ่งแก้ไขปัญหาราคาตกต่ำและหาตลาดส่งออกใหม่ๆ เช่น การเจรจาเปิดตลาดเนื้อโคไปยังมาเลเซียและจีน ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อราคาในประเทศในระยะยาว  

 

4.2 อิทธิพลของสมาคมอุตสาหกรรมและสหกรณ์

 

ในภาคส่วนที่มีการรวมกลุ่มอย่างเข้มแข็ง เช่น อุตสาหกรรมสุกรและไก่ไข่ สมาคมและสหกรณ์มีอิทธิพลอย่างสูงต่อการกำหนดราคาสินค้า ณ หน้าฟาร์ม สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และเครือข่ายสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ ทำหน้าที่เป็นหน่วยกลางในการประกาศราคาแนะนำ ซึ่งช่วยสร้างอำนาจต่อรองให้กับเกษตรกรรายย่อยและสร้างเสถียรภาพด้านราคาในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ องค์กรเหล่านี้ยังมีบทบาทสำคัญในการวิ่งเต้นและเจรจาต่อรองกับภาครัฐในประเด็นเชิงนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อสมาชิก เช่น การเรียกร้องให้ปราบปรามการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรเถื่อน ซึ่งเป็นปัจจัยที่กดดันราคาในประเทศ  

 

4.3 อุปสงค์ผู้บริโภคและกลยุทธ์ค้าปลีก

 

ราคาที่ผู้บริโภคต้องจ่าย ณ จุดขายปลีก ถูกกำหนดโดยปัจจัยหลายอย่างที่นอกเหนือไปจากราคาหน้าฟาร์ม ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ เช่น Big C และแพลตฟอร์มออนไลน์ มีบทบาทในการกำหนดราคาสุดท้ายผ่านกลยุทธ์การตั้งราคา การจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย และการบริหารจัดการส่วนต่างกำไร (Retail Markup) พฤติกรรมและความพึงพอใจของผู้บริโภคก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือความเต็มใจของผู้บริโภคที่จะจ่ายในราคาที่สูงขึ้นสำหรับ “ปลาทับทิม” เมื่อเทียบกับ “ปลานิล” แม้จะเป็นปลาประเภทเดียวกัน แต่การสร้างแบรนด์และภาพลักษณ์ที่แตกต่างสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและส่งผลต่อการตั้งราคาในระดับค้าปลีกได้  

 

4.4 ระบบนิเวศของข้อมูล: แหล่งที่มาและความน่าเชื่อถือ

 

การวิเคราะห์ตลาดในรายงานฉบับนี้ต้องอาศัยการรวบรวมและสังเคราะห์ข้อมูลจากระบบนิเวศของแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นักวิเคราะห์ข้อมูลต้องทำความเข้าใจ แหล่งข้อมูลเหล่านี้สามารถแบ่งได้เป็นประเภทต่างๆ ดังนี้:

  • หน่วยงานภาครัฐ (Government Portals): เช่น เว็บไซต์ของกระทรวงพาณิชย์ (moc.go.th) และสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (oae.go.th) เป็นแหล่งข้อมูลราคาค้าปลีกและสถิติทางการที่มีความน่าเชื่อถือ แต่บางครั้งอาจมีการปรับปรุงข้อมูลที่ล่าช้ากว่าราคาในตลาดจริง  
  • สมาคมอุตสาหกรรม (Industry Associations): เช่น เว็บไซต์ของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ (pasusart.com) เป็นแหล่งข้อมูลราคาหน้าฟาร์มที่รวดเร็วและเป็นปัจจุบันที่สุดสำหรับสินค้าในกลุ่มนั้นๆ  
  • สำนักข่าวและสื่อ (News Agencies): เช่น ประชาชาติธุรกิจ, ฐานเศรษฐกิจ มักจะรายงานข่าวการเปลี่ยนแปลงราคาที่สำคัญๆ โดยอ้างอิงข้อมูลจากสมาคมหรือภาครัฐ ทำให้เป็นแหล่งติดตามความเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว  
  • ตลาดกลางและผู้ค้าส่ง (Market Aggregators): เช่น ตลาดสี่มุมเมือง และรักบ้านเกิด ให้ข้อมูลราคาขายส่งที่เฉพาะเจาะจงและมีรายละเอียดสูง แต่ข้อมูลอาจสะท้อนราคาเฉพาะตลาดนั้นๆ ไม่ใช่ภาพรวมของประเทศ  
  • ผู้ค้าปลีก (Retailers): เช่น เว็บไซต์ของผู้ค้าปลีกรายใหญ่และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ให้ข้อมูลราคาที่ผู้บริโภคต้องจ่ายจริง แต่ราคามักรวมโปรโมชั่นและกลยุทธ์ทางการตลาดอื่นๆ  

สำหรับนักวิเคราะห์ การสร้างภาพรวมตลาดที่สมบูรณ์จำเป็นต้องเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของข้อมูลแต่ละประเภท และสามารถนำข้อมูลจากทุกแหล่งมาประกอบกันเพื่อวิเคราะห์และตรวจสอบความถูกต้องซึ่งกันและกัน

 

แนวโน้มเชิงกลยุทธ์และข้อเสนอแนะ

 

 

5.1 แนวโน้มสำคัญที่ต้องติดตาม

 

จากผลการวิเคราะห์ สามารถสรุปแนวโน้มสำคัญที่ควรจับตามองในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ได้ดังนี้:

  • สุกร: ควรติดตามความเคลื่อนไหวของส่วนต่างราคาระหว่างภูมิภาค (Regional Price Spread) อย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจเป็นตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนโลจิสติกส์หรือความต้องการบริโภคในแต่ละพื้นที่ รวมถึงประกาศจากสมาคมผู้เลี้ยงสุกรฯ เกี่ยวกับมาตรการรักษาเสถียรภาพราคา ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนของผู้ประกอบการแปรรูป
  • ไข่: การเปลี่ยนแปลงของช่องว่างราคาระหว่างไข่ไก่แต่ละเบอร์อาจบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงความต้องการของผู้บริโภคหรือผลผลิตในฟาร์ม ในขณะเดียวกัน การเติบโตของตลาดไข่เป็ดและไข่นกกระทาซึ่งมีโครงสร้างไม่เป็นทางการเท่าไข่ไก่ ถือเป็นโอกาสสำหรับผู้เล่นรายใหม่
  • สัตว์น้ำจืด: ควรจับตาดูส่วนต่างราคาระหว่างปลาทับทิมและปลานิล หากส่วนต่างแคบลง อาจเป็นสัญญาณของการแข่งขันที่สูงขึ้นหรือการที่ตลาดเริ่มอิ่มตัว แต่หากส่วนต่างกว้างขึ้น แสดงว่ากลยุทธ์การสร้างแบรนด์ยังคงประสบความสำเร็จและมีศักยภาพในการเติบโต
  • โค-กระบือ: ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือการติดตามความพยายามของภาครัฐหรือภาคเอกชนในการสร้างมาตรฐานราคาที่เป็นทางการสำหรับตลาดนัด หากมีความคืบหน้าในเรื่องนี้ จะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรม

 

5.2 โอกาสและความเสี่ยง

 

  • โอกาส: ส่วนต่างที่สูงระหว่างราคาหน้าฟาร์ม/ขายส่ง และราคาขายปลีก โดยเฉพาะในสินค้าอย่างปลานิลและเนื้อสุกร ชี้ให้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ที่สามารถพัฒนารูปแบบธุรกิจที่ลดทอนขั้นตอนในห่วงโซ่อุปทาน เช่น การทำเกษตรพันธสัญญา (Contract Farming) หรือการสร้างช่องทางจำหน่ายตรงจากฟาร์มถึงผู้บริโภค (Direct-to-Consumer) นอกจากนี้ ความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ปลาทับทิมยังเป็นต้นแบบสำหรับสร้างมูลค่าเพิ่มในสินค้าเกษตรอื่นๆ เช่น การสร้างแบรนด์ให้กับเนื้อโคสายพันธุ์เฉพาะทาง
  • ความเสี่ยง: การพึ่งพิงองค์กรกลางในการกำหนดราคาในบางอุตสาหกรรม (สุกร, ไก่ไข่) สร้างความเสี่ยงจากการกระจุกตัว (Concentration Risk) หากองค์กรเหล่านี้ประสบปัญหาภายในหรือการตัดสินใจผิดพลาด อาจส่งผลให้เกิดความผันผวนของราคาทั้งระบบได้ นอกจากนี้ ความกระจัดกระจายและความไม่โปร่งใสของข้อมูล โดยเฉพาะในตลาดโค-กระบือ ถือเป็นความเสี่ยงที่สำคัญสำหรับนักลงทุนหรือผู้ประกอบการรายใหม่ที่ต้องอาศัยข้อมูลที่ชัดเจนในการตัดสินใจ

 

5.3 ข้อเสนอแนะเพื่อการวิเคราะห์เพิ่มเติม

 

เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ควรมีการศึกษาและวิเคราะห์เพิ่มเติมในประเด็นต่อไปนี้:

  1. การวิเคราะห์อนุกรมเวลา (Time-Series Analysis): ศึกษาความสัมพันธ์ของส่วนต่างราคาเนื้อสุกรในแต่ละภูมิภาคย้อนหลัง เพื่อสร้างแบบจำลองทางสถิติที่สามารถอธิบายผลกระทบของปัจจัยด้านโลจิสติกส์และเศรษฐกิจในท้องถิ่นต่อการกำหนดราคา
  2. การสำรวจผู้บริโภค: ทำการวิจัยตลาดเพื่อทำความเข้าใจปัจจัยที่ขับเคลื่อนความพึงพอใจและความเต็มใจที่จะจ่าย (Willingness to Pay) ของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าพรีเมียม เช่น ปลาทับทิม เปรียบเทียบกับสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วไป
  3. การศึกษาภาคสนาม: ลงพื้นที่สำรวจตลาดนัดโค-กระบือหลายแห่ง เพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณและสร้างแบบจำลองที่เชื่อมโยงลักษณะทางกายภาพของสัตว์เข้ากับราคาที่เจรจาซื้อขายกันจริง ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจากงานวิจัยที่มีอยู่ และช่วยสร้างความเข้าใจในกลไกตลาดที่ไม่เป็นทางการให้ชัดเจนยิ่งขึ้น  
วิธีการและกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ JBF คุณภาพที่ตรวจสอบได้

วิธีการและกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ JBF คุณภาพที่ตรวจสอบได้

วิธีการและกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ JBF

บทนำ

โรงงานผลิตอาหารสัตว์ เจบีเอฟ (JBF) เป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์ชั้นนำของไทยที่มุ่งมั่นในการผลิตอาหารสัตว์ที่มีคุณภาพสูงในราคาที่ยุติธรรม โดยมีเป้าหมายหลักในการสนับสนุนเกษตรกรและอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ บทความนี้จะพาทุกท่านไปเรียนรู้ถึงวิธีการและกระบวนการผลิตอาหารสัตว์คุณภาพของ JBF ที่ได้รับการยอมรับจากเกษตรกรทั่วประเทศ

การคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพสูง

กระบวนการผลิตอาหารสัตว์ของ JBF เริ่มต้นจากการคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงจากแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐาน โดยทางบริษัทให้ความสำคัญกับวัตถุดิบหลักอย่างเมล็ดถั่วเหลืองที่มีค่าโปรตีนสูง ซึ่งเหมาะสำหรับนำมาใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์

วัตถุดิบทุกชนิดที่นำเข้าสู่โรงงานจะต้องผ่านการทดสอบจากห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจว่าวัตถุดิบที่นำมาใช้มีคุณภาพตรงตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ JBF ยังได้นำระบบ Biosecurity มาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อป้องกันการปนเปื้อนและรักษาคุณภาพของวัตถุดิบตลอดกระบวนการผลิต

การออกแบบสูตรอาหารตามหลักโภชนศาสตร์

หลังจากได้วัตถุดิบคุณภาพแล้ว ทีมนักโภชนาการของ JBF จะทำการออกแบบสูตรอาหารตามหลักโภชนศาสตร์ของสัตว์แต่ละประเภท โดยบริษัทมีทีมวิจัยเฉพาะทางที่คอยพัฒนาสูตรอาหารให้เหมาะสมกับความต้องการทางโภชนาการของสัตว์แต่ละชนิด

สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารไก่ชน JBF ถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตหลักเพียง 3 รายในตลาด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญและความน่าเชื่อถือในการผลิตอาหารสัตว์เฉพาะทาง ทั้งนี้ การออกแบบสูตรอาหารจะคำนึงถึงความต้องการทางโภชนาการที่แตกต่างกันตามช่วงอายุและวัตถุประสงค์การเลี้ยงของเกษตรกร

กระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน

กระบวนการผลิตของ JBF ดำเนินการอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐานสูง โดยมีการควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอนการผลิต ระหว่างกระบวนการผลิต จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่ออกจากโรงงานมีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด

โรงงานผลิตอาหารสัตว์ JBF มีขั้นตอนการผลิตที่สำคัญดังนี้:

  1. การรับและตรวจสอบวัตถุดิบ – วัตถุดิบที่เข้าสู่โรงงานจะถูกตรวจสอบคุณภาพอย่างละเอียด
  2. การบดและผสมวัตถุดิบ – วัตถุดิบจะถูกบดและผสมตามสูตรที่กำหนดไว้อย่างแม่นยำ
  3. การอัดเม็ด – ส่วนผสมจะถูกนำไปอัดเม็ดด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย เพื่อให้ได้อาหารสัตว์ที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ
  4. การทำให้เย็นและบรรจุ – อาหารสัตว์ที่ผ่านการอัดเม็ดแล้วจะถูกทำให้เย็นลงก่อนนำไปบรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน
  5. การตรวจสอบคุณภาพขั้นสุดท้าย – ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจะถูกสุ่มตรวจสอบคุณภาพอีกครั้งก่อนส่งออกจากโรงงาน

การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการขยายกำลังการผลิต

JBF ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น บริษัทได้มีการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับอุปสงค์ที่เติบโตขึ้น โดยผลิตอาหารสัตว์ภายใต้แบรนด์ เจบีเอฟ และซีเลค ซึ่งเป็นที่รู้จักและได้รับความไว้วางใจจากเกษตรกรทั่วประเทศ

นอกจากนี้ JBF ยังมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของเกษตรกร และเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์

ราคายุติธรรมและการบริการที่ใส่ใจ

หนึ่งในจุดเด่นของ JBF คือการตั้งราคาที่ยุติธรรมสำหรับเกษตรกร ภายใต้แนวคิด “สินค้าดีราคายุติธรรม” บริษัทมุ่งมั่นที่จะผลิตอาหารสัตว์ที่มีคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ JBF ยังให้ความสำคัญกับการบริการที่ใส่ใจลูกค้า โดยมีทีมงานที่พร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำการใช้ผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้อง รวมถึงการให้ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์แก่เกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรสามารถประสบความสำเร็จในการเลี้ยงสัตว์ได้อย่างยั่งยืน

สรุป

โรงงานผลิตอาหารสัตว์ JBF เป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์ที่มีคุณภาพสูงในราคายุติธรรม โดยมีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานและใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพสูง การออกแบบสูตรอาหารตามหลักโภชนศาสตร์ ไปจนถึงการควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอนการผลิต

ด้วยความมุ่งมั่นในการผลิตอาหารสัตว์ที่มีคุณภาพและราคายุติธรรม JBF จึงเป็นที่ไว้วางใจของเกษตรกรทั่วประเทศ และมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน


แหล่งอ้างอิง:

าคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม (สัปดาห์ที่ 9/2568)

าคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม (สัปดาห์ที่ 9/2568)

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ขอรายงานข้อมูลราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม (สัปดาห์ที่ 9/2568)
วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568

ฐานราคาขายสุกรขุนมีชีวิตหน้าฟาร์มทุกภูมิภาคปรับตัวดีขึ้น และมีการกระจายตัวมากขึ้น โดยทุกภูมิภาคยังคงรายงานราคายืนเหนียวเท่าสัปดาห์ก่อน แนวโน้มราคาทุกภูมิภาคยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง

    • ภาคตะวันตก: 80 บาท/กก.
    • ภาคตะวันออก: 80 บาท/กก.
    • ภาคอีสาน: 80 บาท/กก.
    • ภาคเหนือ: 79-83 บาท/กก.
    • ภาคใต้: 80 บาท/กก.

ลูกสุกรขุนเล็ก: 2,400 บาท (±80 บาท)

🐷 อัพเดทสถานการณ์ราคาสุกรและมาตรการควบคุม 2566-2568 📊 ราคาปี 2567

• สุกรมีชีวิต: 72.91 บาท/กก.
• เนื้อสุกรชำแหละ: 132.26 บาท/กก.
• แนวโน้มปี 2568: ราคาอาจปรับตัวสูงขึ้น

📌 มาตรการควบคุม
• จำกัดแม่พันธุ์สุกรไม่เกิน 1.2 ล้านตัวในปี 2568
• ร่วมมือกับฟาร์มใหญ่ 16 ราย ควบคุมปริมาณการผลิต
• ปราบปรามเนื้อสุกรเถื่อน
• จับกุมลูกสุกรผิดกฎหมายได้ 43,262 ตัว
• ขยายตลาดส่งออกสุกรมีชีวิตและผลิตภัณฑ์

 

💡 เป้าหมาย
• รักษาเสถียรภาพราคา
• สร้างรายได้ให้เกษตรกร
• ควบคุมปริมาณให้สอดคล้องกับความต้องการในประเทศ

 

ติดตามข้อมูลอัปเดตเพิ่มเติมได้ที่เพจของเรา!
#สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ #ราคาสุกร #เกษตรกรไทย

วัคซีน ASF: ความหวังใหม่ของอุตสาหกรรมสุกรไทย

วัคซีน ASF: ความหวังใหม่ของอุตสาหกรรมสุกรไทย


บทนำ: วิกฤตครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมสุกร

โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever – ASF) เป็นโรคระบาดร้ายแรงที่สร้างความเสียหายมหาศาลต่ออุตสาหกรรมสุกรทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา โรคนี้ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ทำให้พวกเขาต้องสูญเสียรายได้และบางรายถึงขั้นต้องเลิกอาชีพการเลี้ยงสุกร นอกจากนี้ การระบาดของ ASF ยังทำให้เกิดปัญหาด้านความมั่นคงทางอาหารและความเชื่อมั่นในตลาดเนื้อสุกร

อย่างไรก็ตาม ความหวังใหม่ได้เกิดขึ้นในรูปแบบของ วัคซีน ASF ซึ่งเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายนี้ วัคซีน ASF ไม่เพียงช่วยลดความรุนแรงของโรคในสุกร แต่ยังช่วยฟื้นฟูเสถียรภาพในอุตสาหกรรมสุกรไทยอีกด้วย


วัคซีน ASF: นวัตกรรมที่ทั่วโลกรอคอย

วัคซีน ASF คืออะไร?

วัคซีน ASF เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัส ASF ในสุกร โดยวัคซีนนี้จะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของสุกรให้สร้างแอนติบอดีเพื่อต่อต้านไวรัส ASF ซึ่งเป็นไวรัสที่มีความซับซ้อนและร้ายแรง

กลไกการทำงานของวัคซีน ASF

  1. สร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะต่อเชื้อ ASF
    • ช่วยให้ร่างกายของสุกรสามารถสร้างแอนติบอดีที่มีความจำเพาะต่อไวรัส ASF
  2. ลดความรุนแรงของโรค
    • แม้สุกรจะติดเชื้อ แต่ความรุนแรงของอาการจะลดลงอย่างมาก
  3. ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อในฝูง
    • ลดโอกาสในการแพร่เชื้อไปยังสุกรตัวอื่นในฟาร์ม

ประโยชน์ที่คาดหวังจากวัคซีน ASF

ด้านเศรษฐกิจ

  1. ลดความสูญเสียจากการตายของสุกร
    • การระบาดของ ASF ทำให้สุกรจำนวนมากต้องถูกกำจัด แต่การใช้วัคซีนจะช่วยลดการสูญเสียเหล่านี้
  2. ประหยัดค่าใช้จ่ายในการควบคุมโรค
    • ลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดสุกรที่ติดเชื้อ การทำลายเชื้อ และมาตรการควบคุมโรคอื่น ๆ
  3. ฟื้นฟูความเชื่อมั่นในตลาดสุกร
    • เมื่อโรคถูกควบคุม ตลาดเนื้อสุกรจะกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง

ด้านความมั่นคงทางอาหาร

  1. รักษาเสถียรภาพของผลผลิตเนื้อสุกร
    • ลดปัญหาการขาดแคลนเนื้อสุกรในตลาด
  2. สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค
    • ผู้บริโภคจะมั่นใจในความปลอดภัยของเนื้อสุกร
  3. เพิ่มโอกาสในการส่งออก
    • เมื่อควบคุมโรคได้ ประเทศไทยจะสามารถส่งออกสุกรและผลิตภัณฑ์จากสุกรได้มากขึ้น

สถานะการพัฒนาวัคซีน ASF ในปัจจุบัน

ความก้าวหน้าระดับโลก

  1. จีน
    • เป็นประเทศแรกที่เริ่มใช้วัคซีน ASF ในเชิงพาณิชย์
  2. เวียดนาม
    • อยู่ระหว่างการทดลองภาคสนามและมีวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติบางส่วน
  3. ไทย
    • กำลังร่วมมือกับนานาชาติในการวิจัยและพัฒนาวัคซีน วัคซีน ASF สายพันธุ์ไทยที่กำลังพัฒนาโดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ยังไม่มีชื่อเฉพาะเจาะจง แต่ถูกอธิบายว่าเป็นวัคซีนต้นแบบที่มีความปลอดภัยและสูงในการป้องกันโรค ASF โดยใช้เชื้อไวรัสสายพันธุ์ท้องถิ่นของประเทศไทย
  4. ฟิลิปปินส์

ฟิลิปปินส์แนะนำวัคซีน Avac ซึ่งผลิตในเวียดนาม เพื่อป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) วัคซีนนี้ได้รับการทดสอบและพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการทดลองทางคลินิกในฟิลิปปินส์ โดยมีการทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา (USDA) ในการวิจัยASFข้อสำคัญ:

โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever - ASF) เป็นโรคระบาดร้ายแรงที่สร้างความเสียหายมหาศาลต่ออุตสาหกรรมสุกรทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา โรคนี้ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ทำให้พวกเขาต้องสูญเสียรายได้และบางรายถึงขั้นต้องเลิกอาชีพการเลี้ยงสุกร นอกจากนี้ การระบาดของ ASF ยังทำให้เกิดปัญหาด้านความมั่นคงทางอาหารและความเชื่อมั่นในตลาดเนื้อสุกร

ประเภทวัคซีน ASF ที่กำลังพัฒนา

  1. วัคซีนลดทอนสด (LAV)
    • ใช้ไวรัส ASF ที่อ่อนแอหรือดัดแปลงพันธุกรรม เช่น
      • VNUA-ASFV-LAVL3: ให้การป้องกัน 100% ในการทดลอง
      • ASFV-MEC-01: กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้อย่างแข็งแกร่ง
  2. วัคซีนย่อย (Subunit Vaccines)
    • ใช้โปรตีนหรือดีเอ็นเอของไวรัส ASF เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
  3. วัคซีนเวกเตอร์ไวรัส
    • ใช้ไวรัสชนิดอื่นเป็นตัวนำส่งแอนติเจนของ ASF

ผลกระทบต่อเกษตรกร

โอกาสใหม่สำหรับเกษตรกร

  1. ลดความเสี่ยงในการเลี้ยงสุกร
  2. เพิ่มความมั่นใจในการลงทุน
  3. สร้างรายได้ที่มั่นคง

การเข้าถึงวัคซีน

  1. โครงการสนับสนุนจากภาครัฐ
  2. การจัดการต้นทุนเพื่อให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึงวัคซีนได้
  3. การให้ความรู้และคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้วัคซีน

ความท้าทายและแนวทางแก้ไข

ความท้าทายทางเทคนิค

  1. การเก็บรักษาวัคซีนในอุณหภูมิที่เหมาะสม
  2. การขนส่งและการกระจายวัคซีนไปยังพื้นที่ห่างไกล
  3. การติดตามผลหลังการฉีดวัคซีน

ข้อควรพิจารณา

  1. ค่าใช้จ่ายในการฉีดวัคซีน
  2. ระยะเวลาในการสร้างภูมิคุ้มกัน
  3. ความจำเป็นในการฉีดวัคซีนซ้ำ

อนาคตของการควบคุม ASF

แนวโน้มการพัฒนา

  1. วัคซีนรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
  2. การผสมผสานเทคโนโลยี เช่น การใช้ AI ในการเฝ้าระวังโรค
  3. การพัฒนาระบบเฝ้าระวังโรคที่ครอบคลุม

การวางแผนระยะยาว

  1. การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ
  2. การพัฒนามาตรฐานการเลี้ยงสุกรที่ปลอดภัย
  3. การวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

สรุป

วัคซีน ASF เป็นนวัตกรรมสำคัญที่จะช่วยปกป้องอุตสาหกรรมสุกรไทยจากโรคระบาดร้ายแรง แม้จะมีความท้าทายในการพัฒนาและการนำไปใช้ แต่ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่นักวิจัย ภาครัฐ และเกษตรกร เราสามารถก้าวผ่านวิกฤตนี้ได้ วัคซีน ASF ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมสุกรไทย แต่ยังสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว

References:

  • Fan et al. (2024)
  • Truong et al. (2024)
  • Subasinghe et al. (2024)
  • Zhang et al. (2024)
การบริหารจัดการฟาร์มสุกรขุนขนาดเล็กให้เติบโตอย่างยั่งยืน

การบริหารจัดการฟาร์มสุกรขุนขนาดเล็กให้เติบโตอย่างยั่งยืน

บทนำ

การเลี้ยงสุกรขุนขนาดเล็ก เป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีศักยภาพสูงสำหรับเกษตรกรรายย่อยในประเทศไทย ด้วยความต้องการเนื้อสุกรที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลาดทั้งในและต่างประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน การแข่งขันในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ก็มีความเข้มข้นมากขึ้น เกษตรกรจึงจำเป็นต้องมองหาวิธีการบริหารจัดการฟาร์มที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน เพื่อให้สามารถลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และสร้างความมั่นคงในระยะยาว

บทความนี้จะนำเสนอแนวทาง การจัดการฟาร์มสุกรขุน ขนาดเล็กให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของตลาด


ความท้าทายของผู้เลี้ยงสุกรขุนรายย่อยในปัจจุบัน

การเลี้ยงสุกรขุนในฟาร์มขนาดเล็กอาจดูเหมือนเป็นธุรกิจที่เรียบง่าย แต่ในความเป็นจริง เกษตรกรรายย่อยต้องเผชิญกับปัญหาและความท้าทายหลายประการ เช่น:

  • ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
    • ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำไรของผู้เลี้ยงสุกร
  • การแข่งขันกับฟาร์มขนาดใหญ่
    • ฟาร์มขนาดใหญ่มีข้อได้เปรียบในเรื่องของต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำกว่า และสามารถเข้าถึงตลาดได้ง่ายกว่า
  • การจัดการสิ่งแวดล้อม
    • มูลสุกรและของเสียจากฟาร์มอาจก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม
  • ความผันผวนของราคาสุกรในตลาด
    • ราคาสุกรขุนในตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้เลี้ยงรายย่อยต้องรับความเสี่ยงสูง
  • โรคสุกรต่างๆ
    • ในปี 2567 (2024) อุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรในประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายจากโรคระบาดที่สำคัญ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตและเศรษฐกิจของประเทศ

โรคสุกรที่ควรเฝ้าระวัง

  1. โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever: ASF)
    • โรคไวรัสที่มีความรุนแรงสูงในสุกร แม้ว่าจะไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ แต่สามารถทำให้สุกรติดเชื้อและเสียชีวิตในอัตราสูง
    • การพัฒนาวัคซีนต้นแบบโดยไบโอเทค สวทช. มีความหวังในการป้องกันโรคนี้ในอนาคต
  1. โรคปากและเท้าเปื่อย (Foot and Mouth Disease: FMD)
    • โรคไวรัสที่แพร่ระบาดได้รวดเร็วในสัตว์กีบคู่ เช่น โค กระบือ และสุกร
    • ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและการผลิตของสัตว์
  2. โรคเพิร์ส (Porcine Reproductive and Respiratory Syndrome: PRRS)
    • โรคไวรัสที่ส่งผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์และระบบทางเดินหายใจของสุกร
    • ทำให้เกิดการแท้งลูกในแม่สุกรและปัญหาทางเดินหายใจในสุกรขุน
  3. โรคอหิวาต์สุกร (Classical Swine Fever: CSF)
    • โรคไวรัสที่มีความรุนแรงในสุกร แม้ว่าการระบาดจะลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ยังคงต้องมีการเฝ้าระวัง

มาตรการป้องกันและควบคุมโรค

  • การเฝ้าระวังสุขภาพสุกร: ตรวจสอบสุขภาพสุกรอย่างสม่ำเสมอ และรายงานกรณีพบอาการผิดปกติ
  • การจัดการสุขาภิบาลฟาร์ม: รักษาความสะอาดของฟาร์มและอุปกรณ์ ลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อโรค
  • การควบคุมการเคลื่อนย้ายสุกร: ปฏิบัติตามระเบียบการเคลื่อนย้ายสุกรอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
  • การฉีดวัคซีน: ปฏิบัติตามโปรแกรมการฉีดวัคซีนที่กำหนดโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ประโยชน์ของการบริหารฟาร์มสุกรขุนให้เติบโตอย่างยั่งยืน

การจัดการฟาร์มสุกรขุนอย่างยั่งยืนไม่เพียงช่วยลดต้นทุนการผลิต แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน รวมถึงเพิ่มโอกาสทางการตลาดให้กับผู้เลี้ยงรายย่อย

ประโยชน์สำคัญของฟาร์มสุกรขุนยั่งยืน ได้แก่:

  • ลดต้นทุนการเลี้ยงสุกรขุน
    • การใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและการจัดการที่มีประสิทธิภาพช่วยลดค่าใช้จ่าย
  • เพิ่มผลผลิตและคุณภาพของสุกร
    • สุกรมีสุขภาพดีขึ้นและเติบโตเร็วขึ้น
  • สร้างความน่าเชื่อถือในตลาด
    • ฟาร์มที่มีการจัดการที่ดีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค

1. การวางแผนและการบริหารจัดการฟาร์มสุกรขุน

การเลือกทำเลที่ตั้งฟาร์ม

  • แหล่งน้ำสะอาด: น้ำเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเลี้ยงสุกร
  • สภาพอากาศที่เหมาะสม: อากาศที่ร้อนหรือชื้นเกินไปอาจส่งผลต่อสุขภาพของสุกร
  • การเข้าถึงตลาด: ทำเลที่ใกล้ตลาดช่วยลดต้นทุนการขนส่ง

การออกแบบโรงเรือน

  • การระบายอากาศ: เพื่อลดการสะสมของแอมโมเนียและป้องกันโรคทางเดินหายใจ
  • พื้นที่เพียงพอ: ลดความแออัดในโรงเรือน
  • การป้องกันความร้อนและฝน: เพื่อรักษาสุขภาพของสุกร

การลดต้นทุนค่าอาหารสุกรขุน

วิธีลดต้นทุนเลี้ยงสุกรขุน:

  1. ใช้อาหารสำเร็จรูปจากบริษัทที่มีคุณภาพ เช่น เบทาโกร หรือ เจบีเอฟ
  2. การผสมอาหารเองโดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่น เช่น รำข้าว ปลายข้าว และมันสำปะหลัง
  3. การใช้โปรตีนจากธรรมชาติ เช่น กากถั่วเหลืองหรือถั่วเขียว
  4. การวางแผนการให้อาหารในปริมาณที่เหมาะสมตามช่วงอายุของสุกร

การจัดการของเสียจากฟาร์ม

  • การผลิตปุ๋ยอินทรีย์
  • การผลิตก๊าซชีวภาพ
  • การบำบัดน้ำเสียเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่

2. เทคนิคเพิ่มผลผลิตและกำไรของฟาร์มสุกรขุนขนาดเล็ก

การเลือกสายพันธุ์สุกรขุน

  • พันธุ์ลาร์จไวท์: โตเร็วและให้อัตราการเปลี่ยนอาหาร (FCR) สูง
  • พันธุ์แลนด์เรซ: เนื้อคุณภาพดี ทนต่อโรค

สูตรอาหารสุกรขุน Click!!

ระยะเริ่มต้น: เพิ่มโปรตีนสูง เช่น เบอร์ 951, JBF 111

  • ระยะขุน: ลดโปรตีนแต่เพิ่มพลังงาน เช่น เบอร์ 952, JBF 113

ระบบการจัดการน้ำและอากาศ

  • ติดตั้งระบบน้ำอัตโนมัติ
  • ใช้พัดลมระบายอากาศในโรงเรือน

3. แนวทางทำฟาร์มสุกรขุนแบบยั่งยืน

การใช้แนวทางเกษตรอินทรีย์

  • ลดการใช้สารเคมีและยาปฏิชีวนะ
  • เลี้ยงหมูบนบ่อปลานิลเพื่อเพิ่มกำไรจากการเลี้ยงปลา

การใช้ระบบฟาร์มหมุนเวียน

  • ปลูกพืชอาหารสัตว์ในพื้นที่ฟาร์ม
  • ใช้มูลสุกรเป็นปุ๋ย

การบริหารฟาร์มตามหลักสวัสดิภาพสัตว์

  • ลดความแออัดในโรงเรือน
  • จัดการความเครียดของสุกร

4. การตลาดและช่องทางการขายสุกรขุนสำหรับผู้เลี้ยงรายย่อย

การสร้างแบรนด์ฟาร์มสุกรขุน

  • เน้นคุณภาพและความยั่งยืน เช่น เนื้อสุกรปลอดสารเคมี

ช่องทางการขายสุกรขุน

  • ตลาดสด
  • การขายออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดีย
  • การทำสัญญาขายส่งกับโรงเชือด

การใช้โซเชียลมีเดียในการโปรโมต

  • โพสต์ภาพฟาร์มและกระบวนการเลี้ยง
  • สร้างความน่าเชื่อถือผ่านรีวิวจากลูกค้า

บทสรุป

การเลี้ยงสุกรขุนขนาดเล็กให้เติบโตอย่างยั่งยืนต้องอาศัยการวางแผนที่ดี การจัดการที่มีประสิทธิภาพ และการปรับตัวตามสถานการณ์ตลาด การมุ่งเน้นความยั่งยืนไม่เพียงช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้กับเกษตรกร

เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงฟาร์มของคุณวันนี้ เพื่ออนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน!

” 6 โรคร้ายในไก่ไข่ที่ต้องระวัง และวิธีป้องกันรักษา และโปรแกรมวัคซีนสำหรับไก่ไข่ “

” 6 โรคร้ายในไก่ไข่ที่ต้องระวัง และวิธีป้องกันรักษา และโปรแกรมวัคซีนสำหรับไก่ไข่ “

บทนำ

  • ความสำคัญของการป้องกันโรคในฟาร์มไก่ไข่
    • ผลกระทบต่อเศรษฐกิจฟาร์ม
    • ต้นทุนการรักษาเมื่อเกิดโรค
    • การสูญเสียผลผลิต
  • ผลกระทบของโรคต่อผลผลิตและรายได้
    • การลดลงของปริมาณไข่
    • คุณภาพไข่ที่ด้อยลง
    • ค่าใช้จ่ายในการรักษา
  • หลักการพื้นฐานในการป้องกันโรค
    • การสังเกตอาการผิดปกติ
    • การจดบันทึกข้อมูล
    • การติดต่อสัตวแพทย์

1. โรคนิวคาสเซิล (Newcastle Disease)

  • สาเหตุและการติดต่อ
    • เชื้อไวรัสนิวคาสเซิล
    • การแพร่กระจายผ่านอากาศ
    • การติดต่อผ่านสิ่งปนเปื้อน
  • อาการที่พบ
    • อาการทางระบบหายใจ
    • อาการทางระบบประสาท
    • การลดลงของการกินอาหาร
    • อัตราการตายสูง
  • การป้องกัน
    • โปรแกรมวัคซีน
    • การกักกันสัตว์ใหม่
    • การควบคุมการเข้าออกฟาร์ม
  • การรักษา
    • การให้ยาปฏิชีวนะป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน
    • การให้วิตามินเสริม
    • การจัดการสภาพแวดล้อม
  • ช่วงเวลาที่ต้องระวังเป็นพิเศษ
    • ฤดูฝน
    • ช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง
    • ช่วงที่มีการระบาดในพื้นที่

2. โรคหลอดลมอักเสบติดต่อ (IB)

  • สาเหตุและการติดต่อ
    • เชื้อโคโรนาไวรัส
    • การแพร่กระจายทางอากาศ
    • การติดต่อผ่านอุปกรณ์
  • อาการที่สังเกตได้
    • อาการทางระบบหายใจ
    • การหายใจลำบาก
    • น้ำมูก น้ำตาไหล
    • ไข่รูปร่างผิดปกติ
  • ผลกระทบต่อผลผลิตไข่
    • คุณภาพเปลือกไข่
    • รูปร่างไข่ผิดปกติ
    • ปริมาณผลผลิตลดลง
  • วิธีป้องกันและรักษา
    • การให้วัคซีนตามโปรแกรม
    • การควบคุมสภาพแวดล้อม
    • การจัดการอากาศในโรงเรือน

3. โรคอหิวาต์สัตว์ปีก (Fowl Cholera)

  • เชื้อสาเหตุ
    • เชื้อแบคทีเรีย Pasteurella multocida
    • ปัจจัยเสี่ยงจากสภาพแวดล้อม
    • ความเครียดในไก่
  • การแพร่ระบาด
    • ผ่านการกินน้ำและอาหารปนเปื้อน
    • การสัมผัสสิ่งขับถ่าย
    • สัตว์พาหะนำโรค เช่น หนู นก
  • อาการในไก่
    • ไข้สูง
    • เบื่ออาหาร
    • ท้องเสีย
    • หงอนและแข้งเขียวคล้ำ
    • อัตราการตายสูงในระยะเฉียบพลัน

4. โรคไข้หวัดนก (Avian Influenza)

  • ความรุนแรงของโรค
    • อัตราการป่วยสูง
    • อัตราการตายสูงมาก
    • ผลกระทบต่อการส่งออก
  • การติดต่อและการระบาด
    • การสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ป่วย
    • การปนเปื้อนในอากาศ
    • นกอพยพและสัตว์ป่า
  • มาตรการป้องกัน
    • ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพเข้มงวด
    • การกักกันบุคคลและยานพาหนะ
    • การฆ่าเชื้อทุกจุดเสี่ยง
    • การรายงานเมื่อพบความผิดปกติ

5. โรคมาเร็กซ์ (Marek’s Disease)

  • ลักษณะของโรค
    • เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่มเฮอร์ปีส์
    • มักพบในไก่อายุ 12-24 สัปดาห์
    • เป็นโรคที่ทำให้เกิดเนื้องอก
  • อาการที่พบ
    • อัมพาตที่ขาและปีก
    • ตาเปลี่ยนสี
    • ผิวหนังหนาตัวผิดปกติ
    • น้ำหนักลด ซูบผอม
  • การป้องกัน
    • วัคซีนในลูกไก่อายุ 1 วัน
    • การจัดการความสะอาดฟาร์ม
    • การคัดแยกไก่ป่วย

6. โรคหวัดหน้าบวม (Infectious Coryza)

  • สาเหตุของโรค
    • เชื้อแบคทีเรีย Avibacterium paragallinarum
    • การติดต่อผ่านละอองน้ำมูก น้ำตา
    • สภาพแวดล้อมที่เสี่ยง
  • อาการสำคัญ
    • หน้าบวม ตาบวม
    • น้ำมูกไหล
    • กินอาหารลดลง
    • ผลผลิตไข่ลดลง 10-40%
  • การรักษาและป้องกัน
    • การให้ยาปฏิชีวนะตามคำแนะนำสัตวแพทย์
    • การควบคุมความชื้นในโรงเรือน
    • การแยกไก่ป่วย

การจัดการอาหารและน้ำเพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน

  • อาหารเสริมภูมิคุ้มกัน
    • วิตามิน A, D, E และ C
    • แร่ธาตุสำคัญ เช่น สังกะสี ซีลีเนียม
    • โปรไบโอติกและพรีไบโอติก
  • คุณภาพน้ำ
    • การตรวจสอบคุณภาพน้ำประจำ
    • การทำความสะอาดระบบน้ำ
    • การเติมคลอรีนในระดับที่เหมาะสม

การจัดการสภาพแวดล้อม

  • การควบคุมอุณหภูมิ
    • อุณหภูมิที่เหมาะสม 18-28°C
    • การระบายอากาศที่ดี
    • การป้องกันลมโกรก
  • ความชื้นสัมพัทธ์
    • ควบคุมที่ 60-70%
    • การลดฝุ่นในโรงเรือน
    • การจัดการวัสดุรองพื้น

การบันทึกข้อมูลและการเฝ้าระวัง

  • ข้อมูลประจำวัน
    • อัตราการกินอาหาร
    • ปริมาณการให้ไข่
    • อัตราการตาย
    • อุณหภูมิและความชื้น
  • การวิเคราะห์ข้อมูล
    • แนวโน้มการผลิต
    • สัญญาณเตือนความผิดปกติ
    • การประเมินประสิทธิภาพการผลิต

แผนฉุกเฉินเมื่อเกิดโรคระบาด

  • การเตรียมความพร้อม
    • ชุดอุปกรณ์ป้องกัน
    • ยาและเวชภัณฑ์สำรอง
    • แผนการทำลายซากที่ถูกวิธี
  • ขั้นตอนการปฏิบัติ
    • การแจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
    • การกักกันพื้นที่
    • การเก็บตัวอย่างส่งตรวจ

โปรแกรมวัคซีนสำหรับไก่ไข่

วัคซีนในระยะลูกไก่ (0-8 สัปดาห์)

อายุ 1 วัน

  • วัคซีนมาเร็กซ์ (Marek’s Disease)
    • ฉีดใต้ผิวหนังที่คอ
    • ป้องกันตลอดชีวิต
  • วัคซีนนิวคาสเซิล (ND) สเตรน B1
    • หยอดตาหรือจมูก
    • สร้างภูมิคุ้มกันเบื้องต้น

อายุ 7 วัน

  • วัคซีนหลอดลมอักเสบติดต่อ (IB)
    • หยอดตาหรือจมูก
    • สเตรน H120 หรือ MA5

อายุ 14 วัน

  • วัคซีนกัมโบโร (IBD)
    • ให้ทางน้ำดื่ม
    • สเตรนอ่อน (Intermediate)

อายุ 21 วัน

  • วัคซีนนิวคาสเซิล+หลอดลมอักเสบ (ND+IB)
    • หยอดตาหรือละอองฝอย
    • สเตรน La Sota+H120

อายุ 28 วัน

  • วัคซีนกัมโบโร (IBD) ครั้งที่ 2
    • ให้ทางน้ำดื่ม

วัคซีนในระยะไก่รุ่น (9-16 สัปดาห์)

อายุ 8 สัปดาห์

  • วัคซีนฝีดาษ (Fowl Pox)
    • แทงปีก
    • ป้องกันตลอดชีวิต
  • วัคซีนอหิวาต์สัตว์ปีก (Fowl Cholera)
    • ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ

อายุ 10 สัปดาห์

  • วัคซีนนิวคาสเซิล+หลอดลมอักเสบ (ND+IB)
    • ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
    • สเตรน La Sota+H120

อายุ 12 สัปดาห์

  • วัคซีนหลอดลมอักเสบติดต่อ (IB) variant
    • หยอดตาหรือจมูก
    • สเตรนที่เหมาะกับพื้นที่

อายุ 14-16 สัปดาห์

  • วัคซีนนิวคาสเซิล (ND) สเตรนฆ่าเชื้อ
    • ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
    • ให้ภูมิคุ้มกันระยะยาว

วัคซีนในระยะไก่ไข่ (17 สัปดาห์ขึ้นไป)

ทุก 3-4 เดือน

  • วัคซีนนิวคาสเซิล+หลอดลมอักเสบ (ND+IB)
    • ฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือละอองฝอย
    • กระตุ้นภูมิคุ้มกัน

ทุก 6 เดือน

  • วัคซีนอหิวาต์สัตว์ปีก (Fowl Cholera)
    • ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
    • กระตุ้นซ้ำตามความเสี่ยง

ข้อควรระวัง

  1. ตรวจสอบวันหมดอายุของวัคซีน
  2. เก็บรักษาที่อุณหภูมิ 2-8°C
  3. ผสมและใช้วัคซีนให้หมดภายใน 2 ชั่วโมง
  4. หลีกเลี่ยงการให้วัคซีนในไก่ที่อ่อนแอหรือป่วย
  5. บันทึกการให้วัคซีนทุกครั้ง

การประเมินประสิทธิภาพวัคซีน

  • สุ่มตรวจระดับภูมิคุ้มกันทุก 3-6 เดือน
  • สังเกตปฏิกิริยาหลังให้วัคซีน
  • ติดตามอัตราการป่วยและตาย
  • ปรับโปรแกรมตามสถานการณ์โรคในพื้นที่

การจัดการฟาร์มเพื่อป้องกันโรค

  • ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ
    • การสร้างรั้วรอบฟาร์ม
    • บ่อน้ำยาฆ่าเชื้อ
    • การเปลี่ยนรองเท้าและชุดปฏิบัติงาน
    • การควบคุมการเข้าออก
  • การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ
    • ตารางการทำความสะอาดประจำวัน
    • การฆ่าเชื้อโรงเรือนระหว่างรุ่น
    • การจัดการขยะและของเสีย
  • โปรแกรมวัคซีนพื้นฐาน
    • วัคซีนสำหรับลูกไก่
    • วัคซีนระหว่างการเลี้ยง
    • การบันทึกประวัติการให้วัคซีน

การจัดการเมื่อพบการระบาด

  • ขั้นตอนฉุกเฉิน
    • การแยกไก่ป่วย
    • การกักกันพื้นที่
    • การแจ้งเจ้าหน้าที่
  • การรักษาและควบคุม
    • การให้ยาตามคำแนะนำสัตวแพทย์
    • การเพิ่มมาตรการสุขอนามัย
    • การติดตามอาการ
  • การฟื้นฟูหลังการระบาด
    • การทำความสะอาดครั้งใหญ่
    • การพักโรงเรือน
    • การปรับปรุงระบบป้องกัน

แหล่งข้อมูลและการติดต่อ

  • หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
    • กรมปศุสัตว์
    • สำนักงานปศุสัตว์จังหวัด
    • คลินิกสัตวแพทย์ในพื้นที่
  • เบอร์โทรฉุกเฉิน
    • สายด่วนกรมปศุสัตว์
    • สัตวแพทย์ประจำพื้นที่
    • ศูนย์วิจัยและชันสูตรโรคสัตว์

#ไก่ไข่ #โรคระบาด #วัคซีน #นิวคาสเซิล #มาเร็กซ์ #อหิวาต์สัตว์ปีก #ไข้หวัดนก #หวัดหน้าบวม #กัมโบโร #ฟาร์มไก่ #สัตวแพทย์ #ไข่ไก่ #ผลผลิตไข่ #โรงเรือน #ความปลอดภัยทางชีวภาพ

🐾 ราคาพันธุ์สัตว์ ประจำปี 2025

🐾 ราคาพันธุ์สัตว์ ประจำปี 2025


(ราคาประมาณการ ณ วันที่ 2 มกราคม 2025)

🐷 สุกร

  • ลูกสุกรขุน (น้ำหนัก 15-20 กก.): 2,800-3,200 บาท/ตัว
  • สุกรสาวทดแทน: 15,000-18,000 บาท/ตัว
  • พ่อพันธุ์: 45,000-60,000 บาท/ตัว

🐮 โคเนื้อ

  • ลูกโคนม: 18,000-25,000 บาท/ตัว
  • โคขุนพันธุ์ลูกผสม: 35,000-45,000 บาท/ตัว
  • แม่พันธุ์บราห์มัน: 60,000-80,000 บาท/ตัว

🐔 สัตว์ปีก

  • ไก่ไข่สาว: 180-200 บาท/ตัว
  • ไก่เนื้อพันธุ์: 45-50 บาท/ตัว
  • เป็ดไข่: 200-220 บาท/ตัว
  • เป็ดเนื้อ: 55-60 บาท/ตัว

🐐 แพะ

  • แพะพันธุ์เนื้อ: 8,000-12,000 บาท/ตัว
  • แพะนม: 15,000-20,000 บาท/ตัว

🦃 ไก่พื้นเมือง

  • ไก่ชน: 1,500-5,000 บาท/ตัว
  • ไก่พื้นเมืองพันธุ์แท้: 800-1,200 บาท/ตัว

📊 ปัจจัยที่มีผลต่อราคา:

  1. สายพันธุ์และคุณภาพ
  2. อายุและน้ำหนัก
  3. ความต้องการของตลาด
  4. ฤดูกาล
  5. ต้นทุนอาหารสัตว์

⚠️ หมายเหตุ:

  • ราคาอาจแตกต่างกันตามพื้นที่
  • ควรตรวจสอบสุขภาพสัตว์ก่อนซื้อ
  • ราคาอาจเปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด
  • ควรซื้อจากฟาร์มที่ได้มาตรฐาน

ราคาพันธุ์สัตว์ #ปศุสัตว์ #เกษตรกรรม #ฟาร์ม2025

📊 ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม (ณ วันที่ 2 มกราคม 2025)

📊 ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม (ณ วันที่ 2 มกราคม 2025)

🐷 สุกรขุน น้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป:

  • ภาคตะวันตก 72-74
  • ภาคตะวันออก 72-76
  • ภาคอีสาน 74-76
  • ภาคเหนือ 77-79(ซ์้อขายจริง 72บาท)
  • ภาคใต้ 74
  • ลูกสุกรขุนเล็ก 16 กิโลกรัม : 2,100 บวกลบ 76

📈 แนวโน้มราคา:

  • เทียบกับสัปดาห์ก่อน: ↑ เพิ่มขึ้น 2-3 บาท/กก.
  • เทียบกับเดือนก่อน: ↑ เพิ่มขึ้น 5-6 บาท/กก.
  • เทียบกับปีก่อน: ↑ เพิ่มขึ้น 10-12 บาท/กก.

🔄 ปัจจัยที่มีผลต่อราคา:

  1. ความต้องการบริโภคช่วงเทศกาลปีใหม่
  2. ต้นทุนอาหารสัตว์
  3. สถานการณ์โรคระบาด
  4. ปริมาณสุกรในตลาด

⚠️ หมายเหตุ:

  • ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด
  • ควรติดตามประกาศราคาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • ราคาอาจแตกต่างกันตามพื้นที่และผู้ซื้อ

ราคาสุกร #ตลาดสุกร #ปศุสัตว์ #ราคาหมู2025

โรคระบาดสุกรที่สร้างความเสียหายในปี 2024 และแนวทางการป้องกัน

โรคระบาดสุกรที่สร้างความเสียหายในปี 2024 และแนวทางการป้องกัน

🐷 1. โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF)
[รูปภาพสุกรที่แสดงอาการผิวหนังมีจุดเลือดออก และม้ามโต]

อาการสำคัญ:

  • ไข้สูง (40.5-42°C)
  • ผิวหนังมีจุดเลือดออก โดยเฉพาะที่ใบหู ท้อง และขา
  • เบื่ออาหาร ซึม นอนสุม
  • อัตราการตายสูงถึง 100%

การป้องกัน:
🔵 ติดตั้งระบบพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่ทางเข้าฟาร์ม
🔵 จัดทำบ่อน้ำยาฆ่าเชื้อสำหรับรถยนต์
🔵 พนักงานต้องอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อนเข้าฟาร์ม

[รูปภาพระบบความปลอดภัยทางชีวภาพในฟาร์มสุกร]

🐷 2. โรค PRRS
[รูปภาพลูกสุกรที่แสดงอาการหายใจลำบาก และแม่สุกรที่แท้งลูก]

อาการสำคัญ:

  • แม่สุกรแท้งลูก
  • ลูกสุกรแรกคลอดอ่อนแอ
  • มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ
  • การเจริญเติบโตช้า

การป้องกัน:
🔵 ให้วัคซีนตามโปรแกรม
🔵 ควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือน
🔵 แยกสุกรป่วยออกจากฝูง

[รูปภาพการฉีดวัคซีนในสุกร]

🐷 3. โรคท้องร่วงติดต่อในสุกร (PED)
[รูปภาพลูกสุกรที่มีอาการท้องร่วง]

อาการสำคัญ:

  • ท้องร่วงรุนแรง
  • ขาดน้ำ
  • ซึม ไม่กินนม
  • อัตราการตายสูงในลูกสุกร

การป้องกัน:
🔵 รักษาความสะอาดคอกคลอด
🔵 ให้นมน้ำเหลืองอย่างเพียงพอ
🔵 ควบคุมการเข้า-ออกฟาร์ม

[รูปภาพการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรงเรือน]

แนวทางการจัดการฟาร์มที่สำคัญ:

  1. ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ
    [รูปภาพแผนผังระบบ Biosecurity ในฟาร์ม]
  • การควบคุมการเข้า-ออก
  • การฆ่าเชื้อ
  • การจัดการของเสีย
  1. การจัดการอาหารและน้ำ
    [รูปภาพระบบให้อาหารและน้ำที่ถูกสุขลักษณะ]
  • ควบคุมคุณภาพอาหาร
  • ระบบน้ำสะอาด
  • การเก็บรักษาที่เหมาะสม
  1. การเฝ้าระวังโรค
    [รูปภาพการตรวจสุขภาพสุกรโดยสัตวแพทย์]
  • ตรวจสุขภาพประจำวัน
  • บันทึกข้อมูลสุขภาพ
  • ประสานงานกับสัตวแพทย์

ข้อควรปฏิบัติเมื่อพบสุกรป่วย:
⚠️ แยกสุกรป่วยทันที
⚠️ แจ้งสัตวแพทย์
⚠️ เก็บตัวอย่างส่งตรวจ
⚠️ เพิ่มมาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพ

[รูปภาพการแยกสุกรป่วยในคอกพยาบาล]

การลงทุนในระบบป้องกันโรคถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เมื่อเทียบกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการระบาดของโรค เกษตรกรควรให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคมากกว่าการรักษา