รายงานวิเคราะห์ราคาสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ในประเทศไทย

by | Jun 20, 2025 | ข่าวราคาตลาดและการค้า 📊 | 0 comments

รายงานวิเคราะห์ราคาสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ในประเทศไทย: ฉบับไตรมาสที่ 2 ปี 2568

 

 

บทสรุปสำหรับผู้บริหาร: ภาพรวมตลาดสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ของไทย

 

 

1.1 ภาพรวมตลาด

 

ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ตลาดสินค้าปศุสัตว์และประมงของไทยแสดงให้เห็นถึงระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่มีความซับซ้อนและหลากหลาย โดยราคาสินค้าหลัก 7 ชนิดที่ทำการวิเคราะห์ ได้แก่ สุกรมีชีวิต ไข่ไก่ ปลาทับทิม ไข่เป็ด ไข่นกกระทา โคและกระบือมีชีวิต และปลานิล ไม่ได้เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน แต่ถูกกำหนดโดยกลไกตลาดที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างราคาของสินค้าแต่ละชนิดมีความผันแปรสูง ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ตั้งแต่ช่องทางการจำหน่าย (ราคาหน้าฟาร์ม ตลาดค้าส่ง ค้าปลีก) ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ไปจนถึงคุณภาพและเกรดของผลิตภัณฑ์ การทำความเข้าใจในความแตกต่างเหล่านี้จึงเป็นหัวใจสำคัญในการวิเคราะห์ตลาดอย่างแท้จริง

 

1.2 ข้อค้นพบที่สำคัญ

 

การวิเคราะห์เชิงลึกเผยให้เห็นข้อค้นพบหลักสามประการ:

  1. กลไกการกำหนดราคาที่แตกต่างกัน: สินค้าบางประเภท เช่น สุกรมีชีวิตและไข่ไก่ มีโครงสร้างราคาที่ได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากองค์กรกลางหรือสมาคมผู้เลี้ยง เช่น สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และเครือข่ายสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ ซึ่งทำหน้าที่ประกาศราคาแนะนำหรือราคาอ้างอิงหน้าฟาร์ม ในทางตรงกันข้าม สินค้าอย่างไข่นกกระทาและโค-กระบือมีชีวิตในตลาดนัด มีกลไกราคาที่กระจัดกระจายและขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองในแต่ละพื้นที่เป็นหลัก สะท้อนถึงตลาดที่มีผู้เล่นรายย่อยจำนวนมากและขาดมาตรฐานกลางที่ชัดเจน  
  2. ความเหลื่อมล้ำของราคาในระดับภูมิภาคและความผันผวน: ตลาดสุกรมีชีวิตเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของความแตกต่างด้านราคาในแต่ละภูมิภาค โดยราคาประกาศหน้าฟาร์มในภาคตะวันออกและภาคใต้มักจะสูงกว่าภาคอื่น ซึ่งอาจสะท้อนถึงโครงสร้างอุปสงค์และต้นทุนโลจิสติกส์ในพื้นที่นั้นๆ ในขณะเดียวกัน สินค้าที่มีมาตรฐานชัดเจน เช่น ไข่ไก่ มีความเสถียรด้านราคาสูงกว่าสินค้าที่ไม่มีมาตรฐาน เช่น โค-กระบือมีชีวิต ซึ่งราคาซื้อขายจริงอาจแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละวันและแต่ละตลาด  
  3. ความท้าทายด้านข้อมูลและความโปร่งใส: การรวบรวมข้อมูลราคาที่แม่นยำและเป็นปัจจุบันต้องอาศัยการสังเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง ทั้งหน่วยงานภาครัฐ (กระทรวงพาณิชย์, กรมปศุสัตว์) สมาคมอุตสาหกรรม และผู้ค้าปลีกเอกชน การขาดฐานข้อมูลกลางที่ครบวงจรทำให้การวิเคราะห์ต้องเผชิญกับความท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าบางประเภทที่ข้อมูลจากภาครัฐอาจไม่สะท้อนราคาซื้อขายจริงในตลาด รายงานฉบับนี้จึงได้ระบุแหล่งที่มาและวันที่ของข้อมูลอย่างชัดเจนเพื่อความโปร่งใสสูงสุด  

 

1.3 นัยเชิงกลยุทธ์

 

ความเข้าใจในพลวัตของราคาที่นำเสนอในรายงานฉบับนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในห่วงโซ่อุปทาน ไม่ว่าจะเป็นนักวิเคราะห์ธุรกิจ ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ หรือนักลงทุนในภาคเกษตร การตระหนักถึงความแตกต่างของราคาระหว่างหน้าฟาร์มและค้าปลีก ช่องว่างของราคาในแต่ละภูมิภาค และบทบาทของผู้มีอำนาจในการกำหนดราคา จะช่วยให้สามารถวางแผนกลยุทธ์การจัดซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริหารจัดการต้นทุนในห่วงโซ่อุปทาน ระบุโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ และลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของราคาได้อย่างทันท่วงที

 

รายงานสรุปราคาสินค้าเกษตรสำคัญ

 

 

2.1 บทนำสู่ข้อมูลราคา

 

ตารางต่อไปนี้คือการสรุปข้อมูลราคาสินค้าเกษตรสำคัญ 7 รายการ โดยคัดเลือกราคาที่เป็นตัวแทนที่ดีที่สุดจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและเป็นปัจจุบันที่สุด ณ ไตรมาสที่ 2 ปี 2568 เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ ประเภทของราคาที่นำเสนอ (เช่น ราคาเฉลี่ยค้าปลีกทั่วประเทศ หรือราคาเฉลี่ยหน้าฟาร์มระดับภูมิภาค) ได้ถูกพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อให้สะท้อนกลไกตลาดของสินค้าแต่ละชนิดได้ดีที่สุด

การนำเสนอข้อมูลในรูปแบบตารางสรุปนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเปรียบเทียบภาพรวมราคาได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ควรตระหนักว่าราคาเหล่านี้เป็นเพียงภาพรวม ณ จุดเวลาหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากราคาของสินค้าเกษตรมีความซับซ้อนและแตกต่างกันไปตามปัจจัยที่หลากหลาย การวิเคราะห์เชิงลึกใน “ส่วนที่ 3” ของรายงานฉบับนี้จะขยายความถึงความแตกต่างของราคาในแต่ละช่องทางจำหน่าย ภูมิภาค และมาตรฐานของสินค้า เพื่อให้เห็นภาพที่สมบูรณ์และชัดเจนยิ่งขึ้น

 

2.2 ตารางสรุปราคาสินค้าปศุสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ในประเทศไทย (ไตรมาสที่ 2 ปี 2568)

 

ตารางต่อไปนี้แสดงข้อมูลราคาล่าสุดที่รวบรวมได้สำหรับสินค้าแต่ละรายการตามที่ผู้ใช้ร้องขอ

ชนิดสัตว์/ผลิตภัณฑ์ ราคาต่อหน่วย วันที่ข้อมูล
สุกรมีชีวิต (ราคาหน้าฟาร์ม) 82.00 – 88.00 บาท/กก. 16 มิถุนายน 2568
ไข่ไก่ (เบอร์ 3, ราคาค้าปลีก) 4.10 บาท/ฟอง 19 มิถุนายน 2568
ปลาทับทิม (ราคาค้าปลีกเฉลี่ย) 85.00 บาท/กก. 17 มิถุนายน 2568
ไข่เป็ด (ขนาดกลาง, ราคาค้าปลีกเฉลี่ย) 5.35 บาท/ฟอง 18 มิถุนายน 2568
ไข่นกกระทา (สด, ราคาขายส่ง) 90.00 บาท/100 ฟอง 19 มิถุนายน 2568
โคและกระบือมีชีวิต (หน้าตลาดนัดโค-กระบือ) ไม่พบข้อมูล
ปลานิล (ราคาค้าปลีกเฉลี่ย) 72.50 บาท/กก. 19 มิถุนายน 2568

หมายเหตุ: ราคา “สุกรมีชีวิต” เป็นราคาประกาศหน้าฟาร์มโดยสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค ราคา “ไข่ไก่” “ปลาทับทิม” “ไข่เป็ด” และ “ปลานิล” เป็นราคาเฉลี่ยจากการสำรวจตลาดค้าปลีกโดยกระทรวงพาณิชย์ ราคา “ไข่นกกระทา” เป็นราคาขายส่งจากแหล่งข้อมูลตลาดกลาง สำหรับ “โคและกระบือมีชีวิต” ไม่สามารถระบุราคาที่เป็นมาตรฐานกลางได้ เนื่องจากราคาซื้อขายจริงขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองเป็นรายตัวในแต่ละตลาดนัด จึงระบุว่า ‘ไม่พบข้อมูล’ เพื่อความถูกต้อง  

 

การวิเคราะห์เชิงลึกตามประเภทผลิตภัณฑ์

 

 

3.1 พลวัตตลาดสุกร: อิทธิพลของสมาคมและความแตกต่างของราคาในภูมิภาค

 

ตลาดสุกรมีชีวิตในประเทศไทยมีลักษณะเด่นคือการมีโครงสร้างราคาที่ได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากองค์กรกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ” ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการประกาศราคาแนะนำสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มเป็นรายสัปดาห์ การประกาศราคานี้ทำหน้าที่เป็นราคาอ้างอิง (Benchmark Price) สำหรับการซื้อขายระหว่างเกษตรกรและผู้รวบรวมหรือโรงชำแหละทั่วประเทศ  

อย่างไรก็ตาม ราคาที่ประกาศนั้นไม่ได้เป็นราคาเดียวทั่วประเทศ แต่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในแต่ละภูมิภาค ซึ่งสะท้อนถึงสมดุลของอุปทานและอุปสงค์ในท้องถิ่น รวมถึงต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่แตกต่างกัน การพิจารณาข้อมูลราคาประกาศ ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2568 พบว่า ภาคตะวันออกและภาคใต้มีราคาประกาศสูงสุดที่ 86 บาท/กก. ในขณะที่ภาคตะวันตกมีราคาต่ำสุดที่ 82 บาท/กก. ความแตกต่างนี้อาจอธิบายได้ว่า ภาคตะวันออกเป็นที่ตั้งของเขตอุตสาหกรรมสำคัญและภาคใต้เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลัก ซึ่งอาจส่งผลให้มีความต้องการบริโภคสูงกว่า ในขณะที่ภาคตะวันตกและภาคอีสานเป็นแหล่งเลี้ยงสุกรที่สำคัญซึ่งมีปริมาณผลผลิตสูงกว่า ทำให้ระดับราคาหน้าฟาร์มต่ำกว่าเล็กน้อย การทำความเข้าใจในความแตกต่างของราคาในแต่ละภูมิภาคนี้จึงเป็นข้อมูลเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อใช้ในการวางแผนการจัดหาวัตถุดิบให้มีต้นทุนที่เหมาะสมที่สุด  

นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบราคาหน้าฟาร์มกับราคาขายปลีกเนื้อสุกรชำแหละ จะเห็นถึงส่วนต่างของราคา (Margin) ในห่วงโซ่มูลค่าได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ณ วันที่ 19 มิถุนายน 2568 ระบุว่าราคาขายปลีก “สุกรชำแหละ เนื้อแดง สะโพก” อยู่ที่ 152.50 บาท/กก. ซึ่งสูงกว่าราคาเฉลี่ยหน้าฟาร์ม (ประมาณ 84-86 บาท/กก.) อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนต่างนี้ครอบคลุมต้นทุนการขนส่ง การชำแหละ การแปรรูป และกำไรของผู้ประกอบการในแต่ละขั้นตอน บทบาทของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติไม่ได้จำกัดอยู่แค่การประกาศราคา แต่ยังขยายไปถึงการดำเนินมาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาด ในอดีตเคยมีการประกาศ “ตรึงราคา” เพื่อพยุงราคาให้เกษตรกรในช่วงที่ต้นทุนสูงขึ้นหรือเพื่อต่อต้านการนำเข้าเนื้อสุกรจากต่างประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทเชิงนโยบายเศรษฐกิจของสมาคมที่นอกเหนือไปจากการเป็นเพียงองค์กรของเกษตรกร  

ตารางที่ 3.1.1: เปรียบเทียบราคาประกาศสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มตามภูมิภาค (มิถุนายน 2568)

ภาค (Region) ราคา (บาท/กก.) แหล่งข้อมูล
ภาคตะวันตก 82.00 สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ  

ภาคตะวันออก 86.00 สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ  

ภาคอีสาน 82.00 – 84.00 สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ  

ภาคเหนือ 84.00 – 86.00 สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ  

ภาคใต้ 86.00 สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ  

 

3.2 ตลาดไข่สัตว์ปีก: การศึกษาการกำหนดราคาตามมาตรฐานและการสร้างความแตกต่าง

 

ตลาดไข่ในประเทศไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มหลักตามประเภทของสัตว์ปีก ได้แก่ ไข่ไก่ ไข่เป็ด และไข่นกกระทา ซึ่งแต่ละกลุ่มมีโครงสร้างและกลไกการกำหนดราคาที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน สะท้อนถึงระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมและการยอมรับของผู้บริโภค

ไข่ไก่ (Chicken Eggs): เป็นตลาดที่มีความเป็นอุตสาหกรรมและมีมาตรฐานสูงสุด การกำหนดราคาขายปลีกมีความชัดเจนและเป็นระบบ โดยแบ่งตามขนาดหรือ “เบอร์” ตั้งแต่เบอร์ 0 (ใหญ่สุด) ถึงเบอร์ 6 (เล็กสุด) โครงสร้างราคานี้สะท้อนถึงกระบวนการผลิตขนาดใหญ่ที่มีการคัดแยกขนาดด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติ ทำให้สามารถกำหนดราคาที่แตกต่างกันในแต่ละเกรดได้อย่างแม่นยำ ราคาแนะนำไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม ณ วันที่ 9 มิถุนายน 2568 อยู่ที่ฟองละ 3.60 บาท ในขณะที่ราคาขายปลีกไข่ไก่เบอร์ 3 ณ วันที่ 19 มิถุนายน 2568 อยู่ที่ 4.10 บาท/ฟอง ส่วนต่างนี้สะท้อนต้นทุนการคัดขนาด บรรจุภัณฑ์ การขนส่ง และกำไรของผู้ค้าปลีก  

ไข่เป็ด (Duck Eggs): ตลาดไข่เป็ดมีโครงสร้างที่เป็นระบบน้อยกว่าไข่ไก่ แต่ยังคงมีการแบ่งเกรดตามขนาดอย่างง่ายๆ คือ ขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์มักจะรายงานราคา “ไข่เป็ด กลาง” เป็นหลัก ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นขนาดมาตรฐานที่นิยมซื้อขายกันในตลาดค้าปลีก ณ วันที่ 18 มิถุนายน 2568 ราคาเฉลี่ยค้าปลีกไข่เป็ดขนาดกลางอยู่ที่ 5.35 บาท/ฟอง ซึ่งสูงกว่าไข่ไก่ขนาดกลาง-ใหญ่ สะท้อนถึงต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าและปริมาณผลผลิตที่น้อยกว่า  

ไข่นกกระทา (Quail Eggs): เป็นตลาดที่กระจัดกระจายและมีความหลากหลายในการกำหนดราคาสูงที่สุด ไม่มีการกำหนดเบอร์หรือขนาดที่เป็นมาตรฐานกลางเหมือนไข่ไก่และไข่เป็ด หน่วยการซื้อขายมีความหลากหลายมาก ตั้งแต่การขายเป็นแพ็ค 15 ฟองในซูเปอร์มาร์เก็ต , ขายยกถุง 50 ฟอง , ขายส่งเป็นหน่วย 100 ฟอง , ไปจนถึงการขายออนไลน์เป็นจำนวน 500 ฟอง นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างระหว่างไข่ดิบและไข่ต้มสุก ความหลากหลายนี้ชี้ให้เห็นว่าตลาดไข่นกกระทาประกอบด้วยผู้ผลิตรายย่อยจำนวนมาก และมีช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย ตั้งแต่ตลาดสดไปจนถึงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ  

ระดับความเป็นมาตรฐานของราคาในตลาดไข่แต่ละชนิดมีความสัมพันธ์โดยตรงกับระดับความเป็นอุตสาหกรรมของการผลิต ตลาดไข่ไก่ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มีโครงสร้างราคาที่ชัดเจนและมีเสถียรภาพ ในขณะที่ตลาดไข่นกกระทาซึ่งมีลักษณะคล้ายงานหัตถกรรมหรือการผลิตขนาดเล็ก มีโครงสร้างราคาที่ยืดหยุ่นและหลากหลายกว่ามาก

ตารางที่ 3.2.1: เปรียบเทียบโครงสร้างราคาไข่ประเภทต่างๆ (มิถุนายน 2568)

ประเภทไข่ ขนาด/หน่วย ราคา (บาท) ประเภทราคา แหล่งข้อมูล
ไข่ไก่ เบอร์ 0 4.10 / ฟอง ค้าปลีก  

เบอร์ 2 3.70 / ฟอง ค้าปลีก  

เบอร์ 4 3.50 / ฟอง ค้าปลีก  

คละหน้าฟาร์ม 3.60 / ฟอง หน้าฟาร์ม  

ไข่เป็ด ขนาดใหญ่ 4.60 / ฟอง ร้านค้าเฉพาะทาง  

ขนาดกลาง 5.35 / ฟอง ค้าปลีกเฉลี่ย  

ขนาดเล็ก 3.80 / ฟอง ร้านค้าเฉพาะทาง  

ไข่นกกระทา 100 ฟอง (สด) 90.00 ขายส่ง  

15 ฟอง (สด) 39.00 ค้าปลีก (ซูเปอร์มาร์เก็ต)  

100 ฟอง (ต้ม) 130.00 – 138.00 ขายส่ง  

 

3.3 การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด: ตลาดปลากระแสหลักและปลาระดับพรีเมียม

 

ตลาดปลาเพาะเลี้ยงน้ำจืดในประเทศไทยมีผู้เล่นหลักสองชนิดที่น่าสนใจในการวิเคราะห์เปรียบเทียบ ได้แก่ ปลานิล (Pond Tilapia) และ ปลาทับทิม (Pomegranate Fish) ซึ่งทั้งสองชนิดเป็นปลาในวงศ์เดียวกันแต่มีตำแหน่งทางการตลาดและระดับราคาที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

ปลานิล (Pond Tilapia): ถือเป็นปลาเศรษฐกิจกระแสหลักและเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญสำหรับผู้บริโภคชาวไทย เนื่องจากราคาที่ไม่สูง เข้าถึงง่าย และเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ณ วันที่ 19 มิถุนายน 2568 ระบุว่าราคาขายส่งปลานิลอยู่ที่ 45.00 – 50.00 บาท/กก. (เฉลี่ย 47.50 บาท/กก.) ในขณะที่ราคาขายปลีกเฉลี่ยอยู่ที่ 65.00 – 80.00 บาท/กก. (เฉลี่ย 72.50 บาท/กก.) ส่วนต่างระหว่างราคาขายส่งและขายปลีกที่ประมาณ 25 บาทต่อกิโลกรัมนี้ สะท้อนถึงต้นทุนในห่วงโซ่การกระจายสินค้า ตั้งแต่ค่าขนส่ง ค่าจัดการหน้าร้าน และกำไรของผู้ค้าส่งและค้าปลีก  

ปลาทับทิม (Pomegranate Fish): ปลาทับทิมคือสายพันธุ์ของปลานิลที่ผ่านการคัดเลือกและปรับปรุงสายพันธุ์จนมีสีแดงหรือสีชมพูอมส้มคล้ายผลทับทิม และถูกนำเสนอในตลาดในฐานะสินค้าพรีเมียมที่มีราคาสูงกว่าปลานิลทั่วไปอย่างสม่ำเสมอ ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2568 ระบุราคาขายส่งปลาทับทิมอยู่ที่ 80.00 – 90.00 บาท/กก. (เฉลี่ย 85.00 บาท/กก.) ซึ่งสูงกว่าราคาขายส่งปลานิลทั่วไปถึง 37.50 บาท/กก. หรือคิดเป็นส่วนต่างถึง 79% การเปรียบเทียบราคาจากแหล่งอื่นๆ เช่น ตลาดรักบ้านเกิด ก็ยืนยันแนวโน้มเดียวกัน โดยปลาทับทิมมีราคา 75.00 บาท/กก. ในขณะที่ปลานิลอยู่ที่ 55.00 บาท/กก.  

ปรากฏการณ์นี้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation) ในสินค้าเกษตร แม้ว่าในทางชีววิทยาปลาทั้งสองชนิดจะใกล้เคียงกัน แต่การสร้างแบรนด์ การตั้งชื่อที่น่าจดจำ (“ปลาทับทิม”) และการนำเสนอรูปลักษณ์ที่แตกต่าง (สีแดง) สามารถสร้างการรับรู้ของผู้บริโภคว่าเป็นสินค้าคุณภาพสูงกว่า และส่งผลให้สามารถตั้งราคาขายที่สูงขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ สำหรับนักลงทุนในภาคการเกษตร นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของศักยภาพในการทำกำไรจากการผลิตสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าเพิ่ม แทนที่จะเป็นการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ทั่วไป

 

3.4 การค้าโคและกระบือมีชีวิต: ตลาดที่ยังขาดโครงสร้างราคาที่เป็นทางการ

 

การวิเคราะห์ราคาสินค้าในหมวด “โคและกระบือมีชีวิต (หน้าตลาดนัดโค-กระบือ)” เผชิญกับความท้าทายที่สำคัญที่สุด เนื่องจากเป็นตลาดที่ขาดมาตรฐานกลางในการกำหนดราคาอย่างสิ้นเชิง การซื้อขายในตลาดนัดส่วนใหญ่ไม่ได้อิงตามราคากลางต่อกิโลกรัม แต่เป็นการเจรจาต่อรองราคาเป็นรายตัว (Per Head) โดยอาศัยการประเมินด้วยสายตาเป็นหลัก ทำให้การระบุ “ราคาตลาด” ที่เป็นตัวเลขเดียวจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้และอาจสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน  

อย่างไรก็ตาม สามารถวิเคราะห์โครงสร้างของตลาดนี้ได้โดยการพิจารณาข้อมูลจากสองมิติที่แตกต่างกัน:

  1. กรอบราคาของภาครัฐ: กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการออกประกาศกำหนดราคากลางสำหรับโคและกระบือ โดยจำแนกตามสายพันธุ์ (เช่น บราห์มัน, พื้นเมือง), เพศ, และช่วงอายุ โดยระบุราคาเป็น “บาทต่อกิโลกรัม” ตัวอย่างเช่น โคพันธุ์บราห์มันเพศผู้ช่วงหย่านมถึง 5 ปี มีราคากลางที่ 90 บาท/กก. ในขณะที่เพศเมียช่วงหย่านมถึง 10 ปี มีราคากลางที่ 120 บาท/กก. ราคาในลักษณะนี้มักถูกใช้ในเชิงบริหารจัดการของภาครัฐ เช่น การประเมินมูลค่าเพื่อการชดเชยความเสียหาย, การค้ำประกันสินเชื่อ หรือในโครงการต่างๆ ของรัฐ แต่ไม่ได้สะท้อนราคาซื้อขายจริงที่เกิดขึ้นในตลาดนัด  
  2. ราคาซื้อขายในตลาดจริง: การซื้อขายในตลาดนัดโค-กระบือมีลักษณะเป็นพลวัตสูงและขึ้นอยู่กับการต่อรองเฉพาะหน้า ราคาเริ่มต้นอาจมีตั้งแต่หลักพันบาทสำหรับวัวขนาดเล็ก ไปจนถึงหลายหมื่นบาทสำหรับวัวขนาดใหญ่หรือมีลักษณะดี ผู้ซื้อที่มีประสบการณ์จะประเมินราคาโดยพิจารณาจากลักษณะทางกายภาพ เช่น ความสมบูรณ์ของร่างกาย โครงสร้าง และคาดการณ์ปริมาณเนื้อที่จะได้รับ  

ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่างราคากลางของภาครัฐและราคาซื้อขายจริงในตลาด ชี้ให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของระบบเศรษฐกิจสองระบบที่ดำเนินไปพร้อมกัน คือระบบที่เป็นทางการ (Formal) และระบบที่ไม่เป็นทางการ (Informal) งานวิจัยทางวิชาการได้พยายามเชื่อมช่องว่างนี้โดยการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนร่างกายของโค (Body Condition Score) กับราคาซื้อขายจริงต่อกิโลกรัมในตลาดนัด เพื่อสร้างแบบจำลองการประเมินราคาที่เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติ การเจรจาต่อรองโดยอาศัยประสบการณ์และความสัมพันธ์ส่วนบุคคลยังคงเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนตลาดนี้ สำหรับนักลงทุนหรือผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าสู่ตลาดนี้ การทำความเข้าใจในวัฒนธรรมและกลไกการซื้อขายที่ไม่เป็นทางการจึงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการศึกษาข้อมูลราคาที่เป็นทางการ  

ตารางที่ 3.4.1: ตัวอย่างราคากลางโคมีชีวิตตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (บาท/กก.)

สายพันธุ์ เพศ ช่วงอายุ ราคากลาง (บาท/กก.)
โคพันธุ์บราห์มัน ผู้ หย่านม – 5 ปี 90
เมีย หย่านม – 10 ปี 120
โคพันธุ์พื้นเมือง ผู้ หย่านม – 5 ปี 84
เมีย หย่านม – 9 ปี 90

ที่มา: สรุปจากประกาศกรมปศุสัตว์  

 

ปัจจัยขับเคลื่อนตลาดในระดับมหภาค

 

 

4.1 บทบาทของหน่วยงานภาครัฐ

 

หน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ (MOC) และกรมปศุสัตว์ (DLD) มีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลและส่งเสริมตลาดสินค้าปศุสัตว์และประมงของไทย บทบาทเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่การติดตามและเผยแพร่ข้อมูลราคาขายปลีกและขายส่งสินค้าเกษตรผ่านช่องทางต่างๆ ไปจนถึงการกำหนดนโยบายที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุปทานและราคา เช่น การควบคุมการนำเข้าและผลักดันการส่งออก การประชุมของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาโคเนื้อ-กระบือ และผลิตภัณฑ์แห่งชาติ (Beef Board) เป็นตัวอย่างของการทำงานเชิงนโยบายที่มุ่งแก้ไขปัญหาราคาตกต่ำและหาตลาดส่งออกใหม่ๆ เช่น การเจรจาเปิดตลาดเนื้อโคไปยังมาเลเซียและจีน ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อราคาในประเทศในระยะยาว  

 

4.2 อิทธิพลของสมาคมอุตสาหกรรมและสหกรณ์

 

ในภาคส่วนที่มีการรวมกลุ่มอย่างเข้มแข็ง เช่น อุตสาหกรรมสุกรและไก่ไข่ สมาคมและสหกรณ์มีอิทธิพลอย่างสูงต่อการกำหนดราคาสินค้า ณ หน้าฟาร์ม สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และเครือข่ายสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ ทำหน้าที่เป็นหน่วยกลางในการประกาศราคาแนะนำ ซึ่งช่วยสร้างอำนาจต่อรองให้กับเกษตรกรรายย่อยและสร้างเสถียรภาพด้านราคาในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ องค์กรเหล่านี้ยังมีบทบาทสำคัญในการวิ่งเต้นและเจรจาต่อรองกับภาครัฐในประเด็นเชิงนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อสมาชิก เช่น การเรียกร้องให้ปราบปรามการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรเถื่อน ซึ่งเป็นปัจจัยที่กดดันราคาในประเทศ  

 

4.3 อุปสงค์ผู้บริโภคและกลยุทธ์ค้าปลีก

 

ราคาที่ผู้บริโภคต้องจ่าย ณ จุดขายปลีก ถูกกำหนดโดยปัจจัยหลายอย่างที่นอกเหนือไปจากราคาหน้าฟาร์ม ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ เช่น Big C และแพลตฟอร์มออนไลน์ มีบทบาทในการกำหนดราคาสุดท้ายผ่านกลยุทธ์การตั้งราคา การจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย และการบริหารจัดการส่วนต่างกำไร (Retail Markup) พฤติกรรมและความพึงพอใจของผู้บริโภคก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือความเต็มใจของผู้บริโภคที่จะจ่ายในราคาที่สูงขึ้นสำหรับ “ปลาทับทิม” เมื่อเทียบกับ “ปลานิล” แม้จะเป็นปลาประเภทเดียวกัน แต่การสร้างแบรนด์และภาพลักษณ์ที่แตกต่างสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและส่งผลต่อการตั้งราคาในระดับค้าปลีกได้  

 

4.4 ระบบนิเวศของข้อมูล: แหล่งที่มาและความน่าเชื่อถือ

 

การวิเคราะห์ตลาดในรายงานฉบับนี้ต้องอาศัยการรวบรวมและสังเคราะห์ข้อมูลจากระบบนิเวศของแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นักวิเคราะห์ข้อมูลต้องทำความเข้าใจ แหล่งข้อมูลเหล่านี้สามารถแบ่งได้เป็นประเภทต่างๆ ดังนี้:

  • หน่วยงานภาครัฐ (Government Portals): เช่น เว็บไซต์ของกระทรวงพาณิชย์ (moc.go.th) และสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (oae.go.th) เป็นแหล่งข้อมูลราคาค้าปลีกและสถิติทางการที่มีความน่าเชื่อถือ แต่บางครั้งอาจมีการปรับปรุงข้อมูลที่ล่าช้ากว่าราคาในตลาดจริง  
  • สมาคมอุตสาหกรรม (Industry Associations): เช่น เว็บไซต์ของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ (pasusart.com) เป็นแหล่งข้อมูลราคาหน้าฟาร์มที่รวดเร็วและเป็นปัจจุบันที่สุดสำหรับสินค้าในกลุ่มนั้นๆ  
  • สำนักข่าวและสื่อ (News Agencies): เช่น ประชาชาติธุรกิจ, ฐานเศรษฐกิจ มักจะรายงานข่าวการเปลี่ยนแปลงราคาที่สำคัญๆ โดยอ้างอิงข้อมูลจากสมาคมหรือภาครัฐ ทำให้เป็นแหล่งติดตามความเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว  
  • ตลาดกลางและผู้ค้าส่ง (Market Aggregators): เช่น ตลาดสี่มุมเมือง และรักบ้านเกิด ให้ข้อมูลราคาขายส่งที่เฉพาะเจาะจงและมีรายละเอียดสูง แต่ข้อมูลอาจสะท้อนราคาเฉพาะตลาดนั้นๆ ไม่ใช่ภาพรวมของประเทศ  
  • ผู้ค้าปลีก (Retailers): เช่น เว็บไซต์ของผู้ค้าปลีกรายใหญ่และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ให้ข้อมูลราคาที่ผู้บริโภคต้องจ่ายจริง แต่ราคามักรวมโปรโมชั่นและกลยุทธ์ทางการตลาดอื่นๆ  

สำหรับนักวิเคราะห์ การสร้างภาพรวมตลาดที่สมบูรณ์จำเป็นต้องเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของข้อมูลแต่ละประเภท และสามารถนำข้อมูลจากทุกแหล่งมาประกอบกันเพื่อวิเคราะห์และตรวจสอบความถูกต้องซึ่งกันและกัน

 

แนวโน้มเชิงกลยุทธ์และข้อเสนอแนะ

 

 

5.1 แนวโน้มสำคัญที่ต้องติดตาม

 

จากผลการวิเคราะห์ สามารถสรุปแนวโน้มสำคัญที่ควรจับตามองในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ได้ดังนี้:

  • สุกร: ควรติดตามความเคลื่อนไหวของส่วนต่างราคาระหว่างภูมิภาค (Regional Price Spread) อย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจเป็นตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนโลจิสติกส์หรือความต้องการบริโภคในแต่ละพื้นที่ รวมถึงประกาศจากสมาคมผู้เลี้ยงสุกรฯ เกี่ยวกับมาตรการรักษาเสถียรภาพราคา ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนของผู้ประกอบการแปรรูป
  • ไข่: การเปลี่ยนแปลงของช่องว่างราคาระหว่างไข่ไก่แต่ละเบอร์อาจบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงความต้องการของผู้บริโภคหรือผลผลิตในฟาร์ม ในขณะเดียวกัน การเติบโตของตลาดไข่เป็ดและไข่นกกระทาซึ่งมีโครงสร้างไม่เป็นทางการเท่าไข่ไก่ ถือเป็นโอกาสสำหรับผู้เล่นรายใหม่
  • สัตว์น้ำจืด: ควรจับตาดูส่วนต่างราคาระหว่างปลาทับทิมและปลานิล หากส่วนต่างแคบลง อาจเป็นสัญญาณของการแข่งขันที่สูงขึ้นหรือการที่ตลาดเริ่มอิ่มตัว แต่หากส่วนต่างกว้างขึ้น แสดงว่ากลยุทธ์การสร้างแบรนด์ยังคงประสบความสำเร็จและมีศักยภาพในการเติบโต
  • โค-กระบือ: ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือการติดตามความพยายามของภาครัฐหรือภาคเอกชนในการสร้างมาตรฐานราคาที่เป็นทางการสำหรับตลาดนัด หากมีความคืบหน้าในเรื่องนี้ จะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรม

 

5.2 โอกาสและความเสี่ยง

 

  • โอกาส: ส่วนต่างที่สูงระหว่างราคาหน้าฟาร์ม/ขายส่ง และราคาขายปลีก โดยเฉพาะในสินค้าอย่างปลานิลและเนื้อสุกร ชี้ให้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ที่สามารถพัฒนารูปแบบธุรกิจที่ลดทอนขั้นตอนในห่วงโซ่อุปทาน เช่น การทำเกษตรพันธสัญญา (Contract Farming) หรือการสร้างช่องทางจำหน่ายตรงจากฟาร์มถึงผู้บริโภค (Direct-to-Consumer) นอกจากนี้ ความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ปลาทับทิมยังเป็นต้นแบบสำหรับสร้างมูลค่าเพิ่มในสินค้าเกษตรอื่นๆ เช่น การสร้างแบรนด์ให้กับเนื้อโคสายพันธุ์เฉพาะทาง
  • ความเสี่ยง: การพึ่งพิงองค์กรกลางในการกำหนดราคาในบางอุตสาหกรรม (สุกร, ไก่ไข่) สร้างความเสี่ยงจากการกระจุกตัว (Concentration Risk) หากองค์กรเหล่านี้ประสบปัญหาภายในหรือการตัดสินใจผิดพลาด อาจส่งผลให้เกิดความผันผวนของราคาทั้งระบบได้ นอกจากนี้ ความกระจัดกระจายและความไม่โปร่งใสของข้อมูล โดยเฉพาะในตลาดโค-กระบือ ถือเป็นความเสี่ยงที่สำคัญสำหรับนักลงทุนหรือผู้ประกอบการรายใหม่ที่ต้องอาศัยข้อมูลที่ชัดเจนในการตัดสินใจ

 

5.3 ข้อเสนอแนะเพื่อการวิเคราะห์เพิ่มเติม

 

เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ควรมีการศึกษาและวิเคราะห์เพิ่มเติมในประเด็นต่อไปนี้:

  1. การวิเคราะห์อนุกรมเวลา (Time-Series Analysis): ศึกษาความสัมพันธ์ของส่วนต่างราคาเนื้อสุกรในแต่ละภูมิภาคย้อนหลัง เพื่อสร้างแบบจำลองทางสถิติที่สามารถอธิบายผลกระทบของปัจจัยด้านโลจิสติกส์และเศรษฐกิจในท้องถิ่นต่อการกำหนดราคา
  2. การสำรวจผู้บริโภค: ทำการวิจัยตลาดเพื่อทำความเข้าใจปัจจัยที่ขับเคลื่อนความพึงพอใจและความเต็มใจที่จะจ่าย (Willingness to Pay) ของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าพรีเมียม เช่น ปลาทับทิม เปรียบเทียบกับสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วไป
  3. การศึกษาภาคสนาม: ลงพื้นที่สำรวจตลาดนัดโค-กระบือหลายแห่ง เพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณและสร้างแบบจำลองที่เชื่อมโยงลักษณะทางกายภาพของสัตว์เข้ากับราคาที่เจรจาซื้อขายกันจริง ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจากงานวิจัยที่มีอยู่ และช่วยสร้างความเข้าใจในกลไกตลาดที่ไม่เป็นทางการให้ชัดเจนยิ่งขึ้น  

ชื่อของคุณไปที่นี่

รายงานวิเคราะห์ราคาสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ในประเทศไทย

by | Jun 20, 2025 | ข่าวราคาตลาดและการค้า 📊 | 0 comments